วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563

 ขอบคุณคุณครูผู้ประสิทธิประสาทวิชาให้ #บ่งตาต้อตัดใยต้อ อ.หมวยและครอบครัว @อาจารย์หมวยกินกล้วยได้ ขอบคุณ พี่หมอเอ หมอซ้ง แม่งานมือประสานชั้นยอด ขอบคุณสถานที่ กลุ่มบริษัทจาเปา ที่เอื้อเฟื้อสถานที่ ทำให้เกิดการเรียนรู้แบบเข้มข้น ครับ 29 - 30 สิงหาคม 2563





วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

ตั้งครรภ์ 7 เดือน

เป็นการเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์ ท้องโตมากขึ้น คุณแม่จะรู้สึกได้ดีถึงการเคลื่อนไหวของทารก ท้องที่โตมากขึ้นทำให้คุณแม่หายใจเร็วขึ้น เพราะมดลูกที่โตจะมาดันกระบังลมทำให้หายใจได้สั้น ๆ คุณแม่จะรู้สึกถึงความอุ้ยอ้าย เคลื่อนไหวไม่คล่องแคล่ว นอนหลับไม่ได้เต็มที่จากการที่ทารกในครรภ์จะตื่น และตัวมดลูกเองก็จะบีบตัวเป็นระยะห่าง ๆ กัน เป็นการเริ่มต้นการหดรัดตัวของมดลูก ซึ่งจะรุนแรงมากขึ้นแต่ก็ไม่ถึงกับมีการเจ็บปวดเกิดขึ้น และจะบีบรัดตัวครั้งละไม่นานเกิน 30 วินาที ในระยะนี้คุณแม่ควรจะได้เข้าอบรมเรียนรู้ขั้นตอนการเตรียมคลอด เพื่อจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้องเมื่อเจ็บครรภ์คลอดและเข้าสู่กระบวนการคลอด ในช่วงระยะนี้คุณแม่จะมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยเพิ่มสัปดาห์ละ ครึ่งกิโลกรัม ทารกในครรภ์ขณะนี้จะมีน้ำหนัก 1 กิโลกรัมโดยประมาณ ทารกในครรภ์จะมีการเคลื่อนไหวและปฏิกิริยาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การจาม ดูดมือ ดูดนิ้วเท้า

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

พ่อแม่เลี้ยงลูกอย่างไรลูกเป็นอย่างนั้น

ความหมายของคำว่า “ลูก” มิใช่เป็นเพียงแค่ผู้สืบสายเลือดหรือดวงใจอันเป็นที่รักยิ่งของพ่อแม่เท่านั้น แต่ยังเป็นผลิตผลทางจิตวิญญาณของพ่อแม่ด้วย และการที่ลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสังคมได้หรือไม่ เป็นที่ยอมรับกันว่าขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูตั้งแต่เกิดจนเข้าสู่วัยรุ่นว่า ได้รับการเลี้ยงดูมาแบบใดสังคมยุคใหม่พ่อแม่มีทัศนคติ ค่านิยม และความคิดความอ่านเปลี่ยนไปจากเดิมและมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้เป็นผลกระทบมาจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง รวมทั้งสิ่งแวดล้อม ทำให้พ่อแม่ในสังคมยุคใหม่มีรูปแบบและแนวทางในการเลี้ยงดูลูกที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไปเรามักจะพบเห็นรูปแบบการเลี้ยงลูก 4 แบบ คือ การเลี้ยงแบบให้ความรักมากเกินไป โดยไม่มีขอบเขต การเลี้ยงแบบไม่ให้ความรักความเอาใจใส่เท่าที่ควร การเลี้ยงแบบประคบประหงม และแบบสุดท้ายคือ การเลี้ยงลูกแบบเจ้าระเบียบ และบังคับเด็กจนเกินไป

รักหนูมากไป...หนูจะเป็นแบบไหนนะการเลี้ยงลูกแบบรักลูกมากไป ตามใจจนไร้ขอบเขตเป็นวิธีที่พบมากในปัจจุบันที่พ่อแม่ไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก เมื่อมีเวลาใกล้ชิดก็อยากจะมอบความรักความอบอุ่นให้โดยการยอมตามที่ลูกขอแทบทุกครั้งไป
การทำอย่างนี้นอกจากจะขัดขวางไม่ให้ลูกเป็นตัวของตัวเองแล้วยังส่งผลให้ลูกมีนิสัยเห็นแก่ตัว รอคอยไม่เป็น อารมณ์ไม่มั่นคง ก้าวร้าว ไม่เห็นใจคนอื่นที่ต่ำกว่า เก็บกด ปรับตัวได้ไม่ดีต้องพึ่งผู้อื่นโดยเฉพาะพ่อแม่ตลอด ในกรณีที่รุนแรงลูกจะขาดคุณลักษณะที่สำคัญต่อการเรียนรู้และการทำงานในอนาคต ทำให้ในระยะยาวมีผลการเรียนที่ต่ำกว่าศักยภาพที่แท้จริง เนื่องจากขาดความเป็นตัวของตัวเอง ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และการแข่งขันกับตัวเอง ขาดแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ความอดทนและความรับผิดชอบ เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นจะหงุดหงิด มีปัญหาทางอารมณ์ในระยะยาว

ประคบประหงมแบบนี้...ความรักหรือยาขมกันนะการเลี้ยงลูกแบบประคบประหงม วิตกกังวลหวาดกลัวไปต่างๆ นานา ว่าลูกจะป่วยหนักหรือเสียชีวิตจากโรค หรืออุบัติเหตุต่างๆ มักเกิดกับพ่อแม่ที่มีประสบการณ์ที่ไม่ดีในชีวิต โดยเฉพาะครอบครัวที่มีลูกคนเดียว มีลูกยาก ไม่สามารถมีลูกได้อีกเนื่องจากการถูกตัดมดลูกหรือพ่อแม่ที่เคยสูญเสียลูกไปแล้วคนหนึ่งและไม่อยากให้เกิดขึ้น จึงเฝ้าประคบประหงมไม่ให้ลูกผจญต่ออะไรมากนัก คอยติดตามและปกป้องอันตรายให้ลูกตอลดเวลา ไม่ให้ช่วยทำงานบ้าน ไม่มีการฝึกวินัย การทำแบบนี้มีผลดีบ้างตรงที่ลูกได้รับความรักความอบอุ่นเหมือนแบบแรก แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นการทำร้ายลูกอย่างไม่รู้ตัว เนื่องจากจะทำให้ลูกไม่รู้จักช่วยเหลือตัวเอง ขาดความเป็นตัวของตัวเอง ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เนื่องจากถูกปิดกั้นด้วยความรักของพ่อแม่ พ่อแม่ควรปรับความคิดใหม่คิดให้เหมือนเด็ก นึกถึงตอนที่เราเป็นเด็กว่าในวัยนี้เราต้องการอะไรจากพ่อแม่บ้าง และอย่าจมกับอดีต อย่าวิตกกังวลมากไป ให้ความมั่นใจกับตัวลูกว่าเขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้ จะเป็นผลดีต่อการปูพื้นฐานการเรียนรู้ของลูกในอนาคต

เจ้าระเบียบบีบบังคับมากไป...ก็ไม่ดีนะแม่การเลี้ยงลูกแบบนี้ พ่อแม่จะเฝ้าควบคุมลูกอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะเรื่องเวลาในการทำกิจกรรมต่างๆ บางครอบครัวควบคุมไปถึงเรื่องส่วนตัวของลูก ทั้งเรื่องการทานอาหาร การขับถ่าย การออกกำลังกาย เหมือนการเลี้ยงลูกแบบทารกที่คอยควบคุมช่วยเหลือการทำงาน ควบคุมพฤติกรรมที่ไม่ต้องการได้ คอยชี้แนะว่ากล่าวตักเตือนสม่ำเสมอ คอยแก้ปัญหาให้เกือบทุกด้าน ซึ่งจะส่งผลให้เด็กเกิดความเครียด เก็บกดมีพฤติกรรมหน้าไหว้หลังหลอกและอาจเป็นเด็กเจ้าเล่ห์ในอนาคตหรืออาจเป็นเด็กก้าวร้าว จากการสะสมอารมณ์เก็บกดนั้นๆ

เอายังไงแน่แม่...หนูงงแล้วนะการเลี้ยงลูกแบบไม่สม่ำเสมอ ไม่ให้ความรักความเอาใจใส่เท่าที่ควร บางครั้งเข้มมาก บางครั้งตามใจ บางครั้งปล่อยปละละเลย พ่อแม่สอนลูกคนละแบบหรือขัดแย้งกัน เปลี่ยนวิธีการเลี้ยงลูกบ่อยๆ จนลูกไม่สามารถคาดการณ์ล่วงหน้าถึงผลแห่งการกระทำของตัวเอง ส่วนมากเกิดกับพ่อแม่ที่มีความเป็นเด็กอยู่ พ่อแม่ที่มีความเครียดมากหรือไม่มีเวลาให้ลูก มักมีการสอนหรือให้ข้อมูลที่สับสน ตีความหมายได้หลากหลายแก่ลูก การเลี้ยงลูกในลักษณะนี้จะทำให้ลูกเกิดความสับสน ขาดวินัย รักสบาย และขาดความยับยั้งชั่งใจ เนื่องจากจะปรับตัวเองตามลักษณะอารมณ์ของพ่อแม่ โดยในระยะแรกลูกจะแสดงออกเพื่อให้เป็นที่พอใจของพ่อแม่ แต่พอนานวันเข้าก็จะกลายเป็นความเคยชิน เกิดการทำโดยอัตโนมัติและไม่รู้สึกเดือดร้อน
เด็กที่เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน รูปร่าง หน้าตา นิสัยใจคอต่างกัน การที่พี่น้องท้องเดียวกัน แม้แต่ฝาแฝดก็มีความแตกต่างกันเพราะได้รับการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน รวมถึงการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันด้วย ส่งผลให้สุขภาพจิตแต่ละคนแตกต่างกัน การอบรมเลี้ยงดูที่แตกต่างส่งผลต่อพฤติกรรมที่แตกต่างออกไปการเลี้ยงดูลูกของพ่อแม่แต่ละคนส่วนใหญ่จะอาศัยประสบการณ์ที่ถูกเลี้ยงดูมา การเรียนจากตำรา หรือการเห็นคนอื่นเลี้ยงมาประยุกต์ใช้ในแบบที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสม แต่บางครั้งเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของพ่อแม่แต่ละช่วงก็ส่งผลให้การเลี้ยงดูลูกแตกต่างกันออกไป เกิดการเลี้ยงดูหลายแบบในครอบครัวเดียวกัน เราไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่า แบบไหนดีไม่ดี หรือแบบไหนถูกแบบไหนผิด พ่อแม่ควรเลือกและปรับวิธีการดูแลเลี้ยงดูลูกตามความเหมาะสม

พ่อแม่มืออาชีพ...ต้องแบบนี้สิการอบรมเลี้ยงดูลูกที่ดีนั้น ไม่มีรูปแบบตายตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ และลูกจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับพ่อแม่ว่าวางกฎเกณฑ์หรือคุณค่าในเรื่องต่างๆ สูงแค่ไหน เช่น การลงโทษลูก การควบคุมเรื่องต่างๆ รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นของลูกมีมากน้อยแค่ไหน รูปแบบการเลี้ยงลูกควรพิจารณาจาก

ความเท่าเทียมกันทางสังคมคุณพ่อคุณแม่ควรตระหนักว่าลูกเรามีสิทธิ์ที่จะคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง อย่าเพิ่งตัดสินว่าลูกวัยนี้อายุยังน้อยตัดสินใจอะไรหรือทำอะไรไม่ค่อยเป็น ปล่อยให้ลูกได้คิด ได้ทำและตัดสินใจในสิ่งที่เขาสนใจ แม้ว่าลูกจะไม่ฉลาด ไม่มีประสบการณ์ ไม่แข็งแรงหรือไม่มีความรู้เท่าพ่อแม่ เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้ลูกรู้สึกภูมิใจและมั่นใจในตัวเอง คุณพ่อคุณแม่ควรให้เกียรติในความคิดของลูก ไม่บังคับให้ทำตามความคิด ความเชื่อของพ่อแม่ ส่งเสริมลูกด้วยการจัดหาแนวทางและชี้นำเรื่องต่างๆ แก่ลูกอย่างเหมาะสม

ความรับผิดชอบร่วมกันเมื่อเกิดปัญหาขึ้นในครอบครัว การร่วมกันแก้ไขปัญหาต่างๆ ช่วยกันคิด ช่วยกันทำและตัดสินใจ หรือการทำข้อตกลงรับผิดชอบร่วมกัน บ้านที่มีความเป็นประชาธิปไตยควรมีทั้งอิสระ ขอบเขตและฝึกให้ลูกเรียนรู้ถึงความรับผิดชอบ เช่น การเก็บของเล่นหลังเล่นเสร็จ การรับประทานอาหารที่ตรงเวลา การให้ลูกได้รับประสบการณ์จากผลการกระทำของเขาเป็นเทคนิคการฝึกที่มีพลังมาก ลูกมีอิสระที่จะเลือกและได้รับประสบการณ์จากผลของการกระทำของตัวเอง เช่น ลูกไม่ยอมรับประทานอาหารจะรู้สึกหิว หรือเล่นมากไปจนกลับมาไม่ทันมื้ออาหารเย็น เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่ลูกจะเรียนรู้ถึงพฤติกรรมที่มีความรับผิดชอบ ไม่ใช่ทำเพราะรางวัลหรือถูกลงโทษ แต่จะทำเพราะว่าได้รับรู้ถึงผลเสียของการกระทำนั้นๆ และในขณะที่พยายามพัฒนาความรับผิดชอบของลูก พ่อแม่ต้องไม่พยายามเข้าไปช่วยลูกโดยไม่จำเป็นจริงๆ เพราะจะทำให้ลูกมีความรู้สึกรับผิดชอบลดลง

ความร่วมแรงร่วมใจกันครอบครัวที่มีการแข่งขันกันทำให้เกิดความแตกต่างของลูกแต่ละคนอย่างเห็นได้ชัด อาจทำให้ลูกคนที่สู้คนอื่นไม่ได้แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ดื้อรั้น ไม่ยอมร่วมกิจกรรมในบ้าน ไม่มีเพื่อน สุดท้ายจะพบความล้มเหลวด้านการเรียน คุณพ่อคุณแม่ควรเปลี่ยนทัศนคติทั้งตัวเอง และลูกจากการแข่งขันเป็นร่วมมือช่วยเหลือกัน สอนลูกให้มีความเมตตา มีน้ำใจช่วยเหลือคนที่อ่อนแอกว่า จะช่วยให้คนๆ นั้นมีความสุขกับชีวิตมากขึ้น นำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตในอนาคต

ความมีวินัยในตัวเอง พ่อแม่ที่มักสอนให้เรามีความรับผิดชอบโดยการให้รางวัลและการลงโทษ จะส่งผลให้ลูกเรียนรู้ว่าพ่อแม่และคนอื่นมีผลต่อพฤติกรรมของเขา เมื่อใดที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยลูกจะมีพฤติกรรมที่ไม่ดี เพราะไม่มีคนคอยดูหรือคอยสอนให้ทำดี ถ้าพ่อแม่ต้องการให้ลูกทำดี โดยสมัครใจด้วยแรงกระตุ้นภายในตัวเด็กเอง ไม่ใช่จากการถูกลงโทษหรือให้รางวัลได้ พ่อแม่ควรฝึกให้แรงกระตุ้นและแรงเสริมเป็นอย่างอื่น เช่น การชมเชย การกอดลูก เมื่อลูกเกิดความรับผิดชอบโดยสมัครใจ รู้สึกอยากทำสิ่งต่างๆ โดยที่พ่อแม่ไม่ต้อควบคุม นั่นคือพ่อแม่สามารถสร้างบทบาทของการมีวินัยในตนเองให้ลูกได้สำเร็จ

แบบนี้เรียกว่า...พ่อแม่รังแกหนู ในขณะที่พ่อแม่พยายามเลี้ยงลูกให้พร้อมที่จะเผชิญสิ่งต่างๆ ในสังคม เป็นการวางรากฐานให้ลูกออกสู่โลกกว้าง เมื่อโตขึ้นได้อย่างเหมาะสมด้วยประสบการณ์ของตัวลูกเอง บางครั้งพ่อแม่อาจรู้สึกว่าตัวเองเป็นพ่อแม่ที่ไม่เอาไหน หรือด้วยสำนึกของความเป็นพ่อแม่ จึงพยายามเข้าไปช่วยลูก เช่น ช่วยแต่งตัว ช่วยทำการบ้าน ช่วยป้อนข้าว การทำอย่างนี้ไม่เหมาะสมนะคะ เพราะแทนที่ลูกจะพัฒนาตัวเองกลับมีพฤติกรรมถดถอยได้ ซึ่งการอบรมเลี้ยงดูลูกที่ไม่เหมาะสมมีหลายปัจจัยด้วยกัน
• การอบรมสั่งสอนลูก ไม่ ควรเป็นการเทศนา เพราะลูกวัยนี้ไม่สามารถเข้าใจทุกอย่างที่พ่อแม่สอนได้ในเวลาเดียวกัน และจะทำให้ลูกเบื่อหน่ายไม่สนใจฟัง ทำให้เกิดผลเสียทั้ง 2 ฝ่าย พ่อแม่อารมณ์เสียและลูกเกิดความเครียด เก็บกด เพราะไม่สามารถแสดงความโกรธออกมา ดังนั้น พ่อแม่ควรสอนลูกด้วยเหตุผลที่สั้น ชัดเจนและเข้าใจง่าย และไม่ควรหลอกหรือหยอกล้อลูกในทางที่ไม่ควร เพราะจะทำให้ลูกเกิดความรู้สึกกลัวโดยไร้เหตุผล อีกทั้งเป็นการขัดขวางความอยากรู้อยากเห็นของลูก ทำให้ลูกขาดความน่าเชื่อถือและไว้วางใจในตัวพ่อแม่ด้วย
• การดุด่าและการขู่ลูก เป็นอีกพฤติกรรมที่ไม่ควรนำมาใช้ โดยเฉพาะการดุด่ากลางที่สาธารณะ ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เนื่องจากลูกจะเกิดความอาย เครียดและอาจเกลียดพ่อแม่ได้ รวมถึงการพูดจาเสียดสี เหน็บแนมหรือถากถางลูกโดยหวังผลให้ลูกปรับปรุงพฤติกรรม อย่าใช้กับลูกเด็ดขาด โดยเฉพาะลูกวัยนี้เขาไม่เข้าใจความหมายแฝงของคำเหล่านั้นหรอกค่ะ รังแต่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่า ตัวเองทำถูกอีกทั้งลูกอาจเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องถูกต้องและนำสิ่งที่ได้เห็นจากพ่อแม่ไปใช้กับคนอื่นด้วย
• การติดสินบนลูก นิยมมากในกลุ่มพ่อแม่ที่ไม่ต้องการความยุ่งยากในการสอน หรือต้องการหยุดพฤติกรรมที่ไม่ต้องการในตัวลูก พ่อแม่ควรเปลี่ยนความคิดและมุมมองใหม่ดีกว่าค่ะ เพราะการทำแบบนี้จะทำให้ลูกทำความดีได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่ไม่สามารถติดตัวจนกลายเป็นนิสัยได้ ในทางตรงข้ามอาจเป็นการบ่มเพาะนิสัยที่ไม่ดีให้ลูกทำดีเพื่อหวังผลตอบแทนเท่านั้น

สอนลูกสร้างทางเดินอย่างเหมาะสม
ไม่ว่าจะเลี้ยงลูกแบบใด ล้วนมีผลต่อความคิดความอ่าน และพฤติกรรมของเด็กทั้งสิ้น การที่ลูกจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการสั่งสมประสบการณ์ การอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่มาตั้งแต่เล็กจนถึงวัยรุ่น พ่อแม่ที่เลี้ยงดู อบรม สั่งสอนลูกด้วยความรัก ความอบอุ่น ให้กำลังใจ ให้ความยุติธรรม ยอมรับในความสามารถของลูกและพร้อมที่จะให้การสนับสนุน และส่งเสริมความสามารถพิเศษที่มีในตัวของลูก ลูกจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีมานะ อดทน เข้าใจชีวิต มีความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ และสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข หากพ่อแม่เลี้ยงลูกอย่างขาดความรัก ความเข้าใจ มุ่งแต่ใช้การตำหนิติเตียน เมื่อลูกโตขึ้นมักจะเป็นคนล้มเหลวในชีวิต การเลี้ยงลูกด้วยความก้าวร้าว มักจะพบว่าเมื่อลูกเติบโตจะกลายเป็นคนที่มีนิสัยแข็งกร้าว หยาบกระด้าง ในการแก้ปัญหามักจะใช้กำลังมากกว่าเหตุผล พ่อแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยคำเย้ยหยันให้ลูกเกิดความอับอาย นำลูกไปเปรียบเทียบกับเด็กอื่นที่ประสบความสำเร็จ เมื่อโตขึ้นลูกจะเป็นผู้ใหญ่ที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง เป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออกและหวาดระแวง
การเลี้ยงลูกด้วยทางสายกลางเป็นวิธีที่ควรทำมากที่สุด คือ การให้ความรัก ความอบอุ่น ความเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด การยอมรับลูกเป็นสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่ง มีความสม่ำเสมอในการอบรมเรื่องต่างๆ รวมถึงการสร้างระเบียบวินัยที่ไม่ย่อหย่อนหรือเคร่งครัดจนเกินไป ให้ความยุติธรรมต่อลูกทุกคนด้วยความเสมอภาคกัน สิ่งนี้จะเป็นเครื่องหล่อหลอมเด็กให้เป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นสมาชิกที่ดีของสังคม และเติบโตไปเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพของประเทศ

[ ที่มา... นิตยสารบันทึกคุณแม่ ปีที่ 11 พฤศจิกายน 2547 ]

วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

สร้างศักยภาพสมองให้ลูก

ทารกรับรู้กลิ่นและรสได้อย่างไรนะเป็นข้อสงสัยที่นำไปสู่การศึกษาวิจัยเพื่อหาคำตอบชองบรรดานักวิทยาศาสตร์ค่ะ โดยเขาเห็นว่าการรับรู้เรื่องกลิ่นและรสของทารกนั้นเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด นักวิทยาศาสตร์เห็นว่าประสาทสัมผัสด้านรับรู้กลิ่นของทารกนั้นจะพัฒนาอย่างรวดเร็วหลังคลอดค่ะ โดยเฉพาะในสัปดาห์แรกของชีวิต ทารกสามารถจดจำกลิ่นของแม่ตนเองได้อย่างแม่นยำทีเดียว ซึ่งการศึกษาชิ้นหนึ่งบอกว่าทารกอายุ 5 วัน สามารถแยกแยะที่ซับน้ำนมแม่กับนมชนิดอื่นได้ด้วย ผลดังกล่าวทำให้นักวิทยาศาสตร์สรุปกันว่าสำหรับทารกน้อยนั้น ประสาทสัมผัสด้านการรับรู้เรื่องกลิ่นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างความสัมพันธ์ของทารกค่ะ
ส่วนการศึกษาด้านการรับรู้รสชาติของทารกน้อยนั้นเขาไปสังเกตปฏิกิริยาของทารกหลายคนๆ โดยการให้ดมกลิ่นที่แตกต่างกัน พบว่าทารกจำนวนมากเลยที่แสดงอาการชอบกลิ่นมะนาว นักวิทยาศาสตร์บอกว่าตั้งแต่เกิดทารกก็สามารถรับรู้รสชาติ 3 ใน 4 รสหลักแล้วนั่นคือ รสหวาน รสเปรี้ยว และรสขม แต่ดูเหมือนทารกจะชอบรสหวานมากที่สุด ส่วนรสเค็มนั้น ทารกยังแยกไม่ออกหรอกค่ะ เพราะเขาลองให้ทารกดูดน้ำเกลือ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทารกกินน้ำเกลือเหมือนกับกินน้ำเปล่าเลยล่ะนักวิทยาศาสตร์บอกว่าราวอายุ 4 เดือนค่ะ ประสาทสัมผัสการรับรู้รสเค็มที่ลิ้นของทารกถึงจะทำงาน ตอนนั้นทารกจึงจะสามารถแยกแยะรสเค็มได้
สำหรับพัฒนาการด้านประสาทสัมผัสรับรู้เรื่องกลิ่นและรสชาติของทารกนั้น จะพัฒนาไปตามการเลี้ยงดูและประสบการณ์ทารกได้รับค่ะถ้าเขามีโอกาสได้กินอาหารที่รสชาติหลากหลาย ลูกน้อยก็จะเติบโตเป็นคนที่ไม่ติดในรสชาติหลากหลาย ลูกน้อยก็จะเติบโตเป็นคนที่ไม่ติดในรสชาติใดรสชาติหนึ่งเพียงรสเดียว และจะทำให้เป็นคนกินง่าย
อย่างไรก็ตามอาหารที่คุณแม่กินเข้าไปนั้น สามารถทำให้รสชาติน้ำนมแม่เปลี่ยนไปได้ ดังนั้นจงควรสังเกตปฏิกิริยาการดูดของลูกน้อยด้วยค่ะ หากลูกไม่อยากดูดนมแม่ สาเหตุหนึ่งอาจอยู่ที่อาหารที่คุณแม่กินในช่วงนั้นก็เป็นได้
สอนลูกด้วยบัตรภาพ…บัตรคำ
รู้จักและเคยเห็นกันใช่ไหมคะ เจ้าบัตรคำบัตรภาพ ที่ว่านี่ เขาว่ากำลังเป็นเรื่องฮิตในหมู่คุณแม่ลูกเล็กชาวอเมริกันเลย โดยเขานำมาสอนลูกตั้งแต่ก่อนที่ลูกจะพูดได้เสียอีก ผลที่ได้น่ะหรือคะ ความสามารถในด้านการจำภาพของทารกจะพัฒนามาก พัฒนาการด้านกล้ามเนื้อจะดี เพราะทารกใช้นิ้วและมือน้อยๆ นั้นพยายามหยิบบัตรคำ บัตรภาพขึ้นมาเพื่อสื่อสารแต่พัฒนาการด้านการพูดกลับน้อย แล้วก็ดูเหมือนว่าคุณแม่เหล่านี้จะไม่ค่อยสนใจค่ะ ด้วยเห็นว่าการชวนลูกดูบัตรคำ บัตรภาพจะช่วยให้ลูกหลานหยุดงอแง
คุณแม่ท่านหนึ่งซึ่งเริ่มสอนลูกบัตรคำบัตรภาพตั้งแต่ลูกแฝดอายุแค่ 2-3 เดือน บอกว่าลูกชายของเธอสนใจและสามารถเลือกสื่อสารโดยการหยิบบัตรคำบัตรภาพเหล่านั้น ที่สำคัญคือตัวพ่อแม่ต้องสามารถตอบสนองกับสิ่งที่ลูกสื่อสารผ่านบัตรเหล่านั้นให้ได้ ตอนนี้ลูกของเธออายุ 2 ขวบครึ่งแล้ว และใช้ทั้งบัตรคำบัตรภาพและการพูดเพื่อสื่อสารกับคนรอบตัว
นักวิชาการที่สนใจเรื่องการสื่อสารผ่านบัตรคำบัตรภาพบอกว่า “พ่อแม่ส่วนใหญ่จะเล่นตั้งคำถามกับลูกตั้งแต่วัยขวบสองขวบอยู่แล้ว ดังนั้นการใช้บัตรคำภาพนี้จึงเป็นเรื่องเสริมที่ช่วยให้พ่อแม่รู้ว่าลูกน้อยต้องการกล้วยไม่ใช่ขนมปังขณะที่ยังพูดได้แค่อูอาอา”
อย่างไรก็ตามมีการวัด IQ เด็กที่เรียนรู้เรื่องบัตรคำบัตรภาพไปพร้อมกับการพูด พบว่ามีคะแนน IQ สูงกว่าเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน แต่กระนั้นนักภาษาศาสตร์ต่างก็เป็นห่วงค่ะ เพราะการเน้นไปที่การสอนเรื่องบัตรคำบัตรภาพของพ่อแม่นั้น อาจทำให้พ่อแม่ไม่ทันสังเกตพัฒนาการด้านการพูดของลูกน้อยว่าดี เหมาะสมกับวัยหรือไม่และอาจส่งผลให้เด็กมีปัญหาในการพูดตามมาในภายหลังได้
หยิบยกเรื่องนี้มาเล่าต่อ เพราะเป็นห่วงเหมือนกันค่ะ เนื่องจากเจ้าบัตรคำภาพนี้ ก็ฮิตฮอตในบ้านเราก็ไม่ใช่เล่น เอาเป็นว่าถ้าบ้านไหนจะใช้ก็ให้ใช้อย่างเหมาะสมนะคะ และสอดคล้องกับพัฒนาการในทุกด้านของลูกด้วยค่ะ
จริงหรือ… ที่ทารกเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการเรียนรู้ทุกๆ ภาษาในโลก ?
จริง…เพราะสมองของทารกนั้นมีเซลล์ประสาทที่พร้อมเรียนรู้ภาษา เพราะเป็นความมหัศจรรย์ที่ทารกเกิดมาพร้อมความสามารถที่ไม่ใช่แค่เรียนรู้เพียงภาษาใดภาษาหนึ่งเท่านั้น แต่สามารถเรียนรู้ทุกภาษาในโลก ในงานศึกษาวิจัยของแพทริเซีย คูฮ์ล แห่งมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ได้ระบุไว้ว่า “ทารกนั้นเป็นประชากรของโลก เพราะสามารถเข้าใจเสียงและรูปแบบประโยค ของภาษาที่แตกต่างกันทั่วโลก" โดยเธอยกตัวอย่างว่า ตั้งแต่เกิดทารกญี่ปุ่นก็สามารถแยกแยะเสียงระหว่าง R และ L ได้แม้จะมีแต่เสียง R ที่ใช้กันอยู่ในญี่ปุ่นก็ตาม ซึ่งทารกจะสามารถแยกแยะเสียงดังกล่าวได้ไปจนถึงอายุ 6 เดือนค่ะ พออายุ 12 เดือน ก็จะไม่พบความสามารถดังกล่าวแล้ว เพราะแม้ตอนที่ทารกอายุยังอยู่ในครรภ์แม่นั้น ทารกก็พยายามหันหาเสียงแม่ยามแม่ร้องเพลงกล่อม นั่นแสดงว่าเซลล์สมองของทารกและลอกเลียนภาษาแล้ว เพราะทารกเรียนรู้ที่จะพูดด้วยการฟังภาษาและสื่อภาษาตรงจากการพูดคุย เพราะระหว่างอายุ 6-12 เดือน ทารกเริ่มค้นพบความสามารถในการเข้าใจเสียงพูดของภาษาพ่อแม่แล้วล่ะค่ะ
ยิ่งเรียนสูง สมองยิ่งกระฉับกระเฉงไม่ได้พูดเล่นๆ นะคะ มีงานวิจัยมายืนยันนั่งยันด้วย เรื่องนี้ดร. เชอริล แอลเกรดี จากมหาวิทยาลัยโตรอนโต ออนทาริโอ บอกว่าถ้าเราสังเกตคนที่มีการศึกษาสูงๆ เราจะเห็นลักษณะบางอย่างควบคู่ด้วยเสมอ เช่น การมีสุขภาพที่ดี มีงานอดิเรกทำมีเวลาว่างสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ซึ่งสภาพดังกล่าวนี่ล่ะที่มีผลต่อการเรียนรู้และการทำงานอย่างกระฉับกระเฉงของสมอง ดร. เกรดีและทีมงานได้ใช้เครื่อง MRI เพื่อสแกนดูการทำงานของสมองของกลุ่มหนุ่มสาว 14 คนอายุระหว่าง 18-30 ปี และกลุ่มคนอายุ 65 ปีขึ้นไปจำนวน 19 คน เพื่อดูว่าอายุมีความสมพันธ์อย่างไรกับการศึกษาและการทำงานของสมอง ในกลุ่มคนสูงอายุ ซึ่งมีการศึกษาสูงนั้นจะพบการทำงานที่กระฉับกระเฉงของสมองส่วนฟรอนทัลโลบ ขณะที่กลุ่มคนสูงอายุแต่มีการศึกษาน้อย จะพบการทำงานของสมองส่วนอื่น ซึ่งผลการศึกษาดังกล่าวจะให้ผลตรงกันข้ามในกลุ่มคนหนุ่มสาว
ดร.เกรดีสรุปถึงผลการศึกษาที่ค้นพบนี้ว่า การทำงานของสมองส่วนต่างๆ ของคนเรานั้นสัมพันธ์กันระดับของการศึกษาและความสามารถในการจำตามระดับของอายุด้วย ทั้งยังเห็นว่าการทำงานของสมองของคนเราอย่างกระฉับกระเฉงนั้นสะท้อนในกลุ่มคนสูงอายุที่มีระดับการศึกษาสูงค่ะ
เอ้า… เพื่อให้สมองของเราดี ต้องขยันเรียนเข้าไว้ค่ะ ที่สำคัญอย่างที่เขาพูดกัน… ไม่มีใครแก่เกินเรียนหรอก… นะคะ

เขียนโดย มนต์ชยา

[ ที่มา..นิตยสารรักลูก ปีที่ 24 ฉบับที่ 282 กรกฎาคม 2549 ]

วันพุธที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

น้องสาวน้องแพรวา สัปดาห์ที่ 26 แล้วครับเลยครึ่งทางแล้ว

ทารกในครรภ์จะเคลื่อนไหวคล่องแคล่วมากขึ้น และมีการตอบสนองต่อ สัมผัสและเสียงดังๆ ภายนอก ถ้าได้ยินเสียงดังจากข้างนอก จะทำให้ ทารกเตะ หรือกระโดดได้ ทารกกลืนน้ำคร่ำและถ่ายปัสสาวะลงในน้ำ คร่ำประมาณวันละ 500 ซีซี บางครั้งทารกสะอึก และคุณแม่เองก็ สามารถรู้สึกถึงอาการสะอึกของลูกได้เช่นกัน ทารกเริ่มตื่นและหลับ เป็นเวลา และบ่อยครั้งทีเดียวที่แตกต่างไปจากเวลาของคุณแม่ เมื่อ คุณแม่จะเข้านอนในกลางคืนอาจเป็นเวลาที่ลูกตื่นและเริ่มเตะ ถีบ

การเต้นของหัวใจของทารกสามารถได้ยินผ่านเครื่องสเตรปโตสโคป แล้ว คุณพ่อเองถ้าเอาหูแนบท้องคุณแม่ดีๆ ก็จะได้ยินเสียงหัวใจของลูก เต้นเช่นกัน ในระยะนี้ผิวหนังของทารกจะถูกหุ้มด้วยไขสีขาวเรียกว่า "vernix" ซึ่งเชื่อว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องให้ผิวลูกอ่อนนุ่มขณะที่ยังลอย ตัวอยู่ในน้ำคร่ำ ไขสีขาวนี้จะจางหายไปก่อนที่ลูกจะคลอดออกมา

ในระยะสัปดาห์ที่ 24 ถ้าลูกคลอดตอนนี้ก็อาจมีโอกาสที่จะมีชีวิตรอดได้ ถ้าได้รับการดูแลเป็น พิเศษ เนื่องจากจะมีปัญหาเรื่องการหายใจ และอุณหภูมิร่างกายต่ำ ถ้า คลอดก่อนหน้านี้โอกาสที่ลูกจะมีชีวิตรอดเป็นได้ยากเพราะว่าปอดและ อวัยวะส่วนสำคัญๆ ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์เพียงพอ

ในระยะสัปดาห์ที่ 26 เปลือกตาลูกจะเปิดเป็นครั้งแรก เท่ากับว่าลูกเริ่มลืมตาและมองเห็นได้ แล้ว ความยาวของลูกในช่วง 30 สัปดาห์จะประมาณ 24 ซม.

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อารมณ์ขัน กลยุทธให้ลูกเติบโต

อารมณ์ขัน กลยุทธให้ลูกเติบโต

อารมณ์ขันและ เสียงหัวเราะ ไม่เพียงแค่สร้างสีสันให้กับชีวิตเราเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์กับร่างกายและจิตใจอย่างมหาศาลทีเดียวค่ะ จากรายงานของ ARISE (Associates for Research Info the Science of Enjoyment) หรือองค์การวิจัยเพื่อศาสตร์แห่งความสุข ซึ่งเป็นสถาบันกลางที่ร่วมผลงานการค้นคว้าโดยผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก พบว่า…การหัวเราะจะช่วยลดระดับฮอร์โมนที่ก่อให้เกิดความเครียดลง ช่วยลดความเจ็บปวดและทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เมื่อใดที่เราหัวเราะ ร่างกายจะผลิตเซลล์ที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับเซลล์มะเร็งและเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสได้มากขึ้น นอกจากนี้การหัวเราะยังส่งผลดีต่อระบบการทำงานของร่างกาย เช่น ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร การไหลเวียนโลหิต และระบบต่อมไร้ท่อด้วย และยังมีประโยชน์อื่นๆ ที่เรานึกไม่ถึงเชียวค่ะ อาทิ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย การหัวเราะจะช่วยเพิ่ม “IgA” ซ่งเป็นภูมิคุ้มกันชนิดหนึ่งในน้ำลาย สำหรับป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหาย เช่น ไข้หวัด หรือภูมิแพ้ลดภาวะซึมเศร้า การหัวเราะจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนโดพามีนซึ่งเป็นสารที่ช่วยต่อต้านกับความเครียดได้
กระตุ้นหัวใจให้แข็งแรงขึ้น การหัวเราะอย่างต่อเนื่อง 15-20 นาที เป็นเสมือนการออกกำลังกายให้หัวใจได้ประมาณ 3-5 นาที ช่วยบริหารปอด การหัวเราะทำให้กระบังลมเคลื่อนไหวได้มากขึ้น ทำให้ระบบหมุนเวียนอากาศของปอดทำงานดีขึ้น สำหรับผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจจึงควรหัวเราะบ่อยๆ ค่ะ
ช่วยชะลออาการของโรค เมื่อคุณหัวเราะจะทำให้คุณอารมณ์ดีและมีความสุขไม่กังวลและเครียดอยู่กับอาการของโรค ลดอาการเจ็บปวด เมื่อเราหัวเราะร่างกายจะรู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งช่วยลดความเจ็บปวดได้ค่ะ เช่นเวลาที่ฉีดยาคนที่เกร็งกล้ามเนื้อ หรือเครียดจะเจ็บกว่าคนที่รู้สึกผ่อนคลายค่ะ
ถ้าคุณเคยดูภาพยนต์เรื่อง Patch Addms นำแสดงโดย Robin Williams ดาราชื่อดังของ Hollywood ซึ่งนำเค้าโครงมาจากเรื่องจริงของนักจิตวิทยาคนหนึ่ง ที่ใช้ความพยายามมากกว่า 30 ปี เพื่อทำให้คนไข้ของเขาหัวเราะ ไม่ว่าอาการเจ็บป่วยนั้นจะรุนแรงเพียงใดก็ตาม เพราะเห็นประโยชน์ของการหัวเราะนั่นเอง บ้านเราก็เช่นกันค่ะ ขณะนี้ศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตประสานมิตร ได้จัดตั้งโครงการศาสตร์และศิลป์แห่งการหัวเราะบำบัดขึ้นแล้วค่ะ
เสียงหัวเราะ… ดัชนีความสุขและการเติบโตของลูก
ถ้าเจ้าของเสียงหัวเราะคือลูกน้อยของคุณ ผลที่ได้ก็ไม่ต่างจากผู้ใหญ่หรอกค่ะแต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ เสียงหัวเราะของลูกเปรียบเหมือนเสียงสวรรค์ของพ่อแม่ เพราะเป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งว่าลูกกำลังมีความสุข ขณะเดียวกันก็สื่อนัยว่า ลูกจะเป็นเด็กที่มีพัฒนาการทางอารมณ์และการเรียนรู้ที่ดี เพราะเด็กจะใช้เสียงหัวเราะและอารมณ์ขันเพื่อผ่อนคลายความรู้สึกตึงเครียด และสร้างบรรยากาศให้สนุกสนานเกิดขึ้นภายในจิตใจ ทั้งยังได้เรียนรู้วิธีที่จะสื่ออารมณ์ในทางบวกผ่านทางเสียงหัวเราะ ทำให้ฮอร์โมนโดพามีน (Dopamine) ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ความสุข การเคลื่อนไหวและความจำหลั่งออกมา ส่งผลให้เด็กมีความสุขและต่อต้านกับความเครียด จนทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ในร่างกายลดลงและเจริญเติบโตได้ตามปกติ
จะว่าไป ฮอร์โมนคอร์ติซอลก็ไม่ได้เป็นผู้ร้ายที่ต้องกำจัดออกไปจากร่างกายหรอกเพระาถ้ามีในระดับที่พอดีก็จะเป็นแรงเสริมให้เด็กๆ มุ่นมั่นทำสิ่งต่างๆ จนประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย แต่ถ้ามีมากเกินก็ส่งผลร้ายต่อร่างกายได้ เพราะจะทำให้เกิดอาการเครียด การเจริญเติบโตไม่ดี โดยเฉพาะสมอง และอาจทำให้เกิดโรคได้ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็ง กระเพาะอาหาร เป็นต้น ซึ่งวิธีลดระดับคอร์ติซอลนั้นง่ายมาก เพียงหาหนทางให้ลูกหัวเราะ ให้ฮอร์โมนโดพามีนจะได้หลั่งออกมาไงคะ
พอนึกออกแล้วนะคะ ว่าถ้าวันหนึ่งๆ ลูกไม่หัวเราะหรือมีอารมณ์ขันเลย จะเกิดอะไรขึ้น ที่ชัดเจนคือ ลูกจะเครียด ไม่มีความสุข การเจริญเติบโตไม่ดี มองโลกในแง่ร้ายไม่ไว้ใจใคร ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง และมีบุคลิกภาพที่ไม่ดีตามมาอีกด้วยค่ะ
เสียงหัวเราะสำคัญต่อลูกในท้อง
สำหรับคุณแม่ท้องจำเป็นที่ต้องสร้างเสียงหัวเราะอย่างยิ่ง หรือทำให้ตัวเองอารมณ์ดี เพราะนั่นหมายึงลูกน้อยจะได้รับอานิสงส์จากเสียงหัวเราะของคุณไปด้วย เพราะถ้าแม่ท้องมีอารมณ์ขันหรือหัวเราะอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของระบบทางเดินหายใจทั้งต่อตัวแม่และลูกน้อยในครรภ์ ซึ่งเด็กที่อยู่ในท้องของคุณแม่อารมณ์ดีเมื่อคลอดออกมาจะเติบโตดี และเป็นจุดเริ่มต้นของความสามารถในการเรียนรู้ทั้งหมด ที่สำคัญช่วง 0-6 ปี สมองของลูกเจริญเติบโตได้ดีที่สุด จงต้องต่อยอดการเรียนรู้ด้วยการเสริมกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ลูกมีอารมณ์ที่ดี เพราะเมื่อลูกสนุกและอารมณ์ดีแล้วทุกอย่างรอบตัวก็น่าสนุกและน่าเรียนรู้ไปหมด แม้ในยามที่เจอปัญหาก็กลายเป็นเรื่องท้าทายให้หาทางออกและใช้ความคิดสร้างสรรค์ค่ะ
กลยุทธ์จุดอารมณ์ขัน
เบบี้ 0-1 ปี
วัยนี้ลูกสามารถสร้างเสียงหัวเราะและอารมณ์ขันได้ง่ายมาก ไม่ต้องไปสรรหาวิธีการอะไรให้ยุ่งยาก เพียงแค่เราเอาใจใส่และทำทุกช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันให้มีแต่ความสุขเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วยให้เขาได้เรียนรู้โลกกว้าง ร่างกายแข็งแรง มีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่ดีและสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้
กิจกรรมที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างเสียงคิกคักให้เจ้าตัวเล็กได้นั้นมีมากมายค่ะขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกหยิบจับอะไรมาเล่นกัน ลองมาดูกันนะคะ
1. จ๊ะเอ๋…เบบี้ เป็นกิจกรรมยอดฮิตครองแชมป์โลกก็ว่าได้ เพราะพ่อแม่ทุกคนต้องเล่นกับลูกแน่นอนค่ะ สามารถเรียกความสนใจเจ้าตัวเล็กให้รู้จักมักคุ้นกับใบหน้าของคนรอบๆ ตัว อาจจะใช้ผ้าอ้อมของลูก ตุ๊กตา หรทอมือของคุณเองก็สามารถสร้างเสียงหัวเราะให้ลูกได้แล้วค่ะ
2. เล่นปูไต่ วิธีนี้ก็สนุกไม่เบา ใช้ปลายนิ้วของแม่หรือพ่อสัมผัสที่ท้องลูกเบาๆ ลูกจะรับรู้ถึงสัมผัสนั้นได้ แค่นี้ก็ทำให้ลูกรู้สึกจั๊กจี๋และส่งเสียงหัวเราะได้แล้ว
3. เอื้อมให้ไกลไปให้ถึง เพียงแค่คุณเอาของเล่นที่ลูกชอบ ชอบวางให้ห่างจากมือลูกสักนิด เจ้าตัวเล็กจะคืบคลานทีละนิดๆ เพื่อเอื้อมหยิบของเล่นชิ้นนั้น วิธีนี้สร้างทั้งเสียงหัวเราะและฝึกให้เขาได้บริหารกล้ามเนื้อแขน ขา และนิ้วมือด้วย
4. ยิ้มให้กระจก ลองหากระจกที่มีลวดลายสีสันสดใสให้ลูกส่องดูตัวเองสิคะ แล้วทำท่าทางต่างๆ ให้ลูกทำตาม แค่เขาเห็นตัวเองในกระจกก็ยิ้มไม่หุบแล้วค่ะ และถ้ามีท่าตลกๆ ให้เขาเห็นหรือทำตาม เขาจะหัวเราะร่าเลยเชียว
5. ไล่จับหนู การเล่นไล่จับกับลูกก็สร้างเสียงหัวเราะได้ ลูกอยู่ในวัยคลาน คุณก็คลานไล่ตามลูก เจ้าตัวเล็กจะรีบคลานหนีไปพร้อมๆ กับส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก วิธีนี้ทำให้กล้ามเนื้อแขน ขา และมือแข็งแรงขึ้นด้วยค่ะ
6. เป่าพุงป่อง เล่นแบบนี้ก็สนุกไม่แพ้กัน เพราะสร้างทั้งเสียงหัวเราะและเสียงดังจากการเป่า เสร็จแล้วก็แกล้งทำสะดุ้งตกใจเมื่อมีเสียงดัง หรืออาจทำท่าทางแปลกๆ ให้เขาดูก็ได้ค่ะ
7. บินเหมือนนก เป็นการเล่นอีกแบบหนึ่งที่สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับลูกได้ไม่แพ้วิธีอื่นๆ เพียงคุณอุ้มลูกให้นอนคว่ำ มือข้างหนึ่งจับที่หน้าอกและมืออีกข้างหนึ่งจับที่ช่วงขา แล้วพาเขาบินไปพร้อมๆ กัน เท่านี้เจ้าตัวเล็กก็ยิ้มร่าแล้วค่ะ
8. ขี่ม้าชมเมือง ชื่อนี้คุณอาจไม่คุ้นเคย แต่ถ้าบอกวิธีการแล้วคุณต้องร้องอ๋อ…วิธีก็มีอยู่ว่า เวลาที่คุณจะเล่นกับลูกต้องนอนหงายก่อน จากนั้นก็ให้ชันเข่าขึ้นตั้งตรงเข่าชิดกัน อุ้มเจ้าตัวเล็กไปวางไว้ที่หลังเท้าให้ตัวลูกแนบกับเข่า แล้วคุณก็ยกเท้าขึ้นลงๆ คุณอาจกางแขนลูกออกทั้ง 2 ข้าง พร้อมกับยกขาขึ้นค่ะ รับรองสนุกแน่
9. ตุ๊กตาหนูหายไปไหน นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ฮิตไม่เบาเช่นกัน เพียงเอาของที่ลูกโปรดปรานไปแอบไว้สักพัก จากนั้นก็ค่อยๆ เอาออกมาแล้วทำท่าตกใจให้เขาเห็น
10. โมบายกรุ๊งกริ๊ง เด็กเล็กบางคนแค่เห็นโมบายแกว่งไปมาก็อารมณ์ดีนอนยิ้มกริ่มแล้ว ยิ่งปล่อยให้เขาเอื้อมคว้าจับด้วย ก็จะยิ่งชอบใจค่ะ
11. แย่งของเล่น อันนี้ก็ใช้ของเล่นชิ้นโปรดของลูกเช่นกัน แต่คุณต้องแย่งของเล่นจากลูกด้วยการแกล้งดึงออกจากมือลูกแล้วก็ปล่อย…อย่าแย่งจริงล่ะ เดี๋ยวได้เสียงร้องไห้โฮโฮมาแทนเสียงหัวเราะฮ่าฮ่า จะหาว่าไม่บอกกันก่อน
12. ขี่คอบิน เพียงคุณอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นขี่คอ กางแขนของลูกออกแล้วพาบินไปด้วยกัน แต่ต้องระวังความปลอดภัยให้ลูกด้วยนะคะ
13. เหินฟ้า ใช้มือ 2 ข้างจับตัวลูกชูขึ้น-ลง ทำอย่างนี้ซ้ำ 2-3 ครั้ง ครั้งแรกเขาอาจจะตกใจ แต่เมื่อทำอีกคราวนี้ลูกจะสนุกและหัวเราะร่วนเลยล่ะค่ะ
14. เสื้อผ้าแสนสนุก หลังอาบน้ำเสร็จขณะที่คุณจะแต่งตัวให้เขา คุณก็นำเสื้อผ้าเหล่านั้นมาสร้างเสียงหัวเราะให้ลูก ด้วยการนำเสื้อผ้ามาสวมที่มือคุณแล้วเต้นไปตามจังหวะเพลงที่คุณร้อง หรืออาจจะแต่งเป็นนิทานสักเรื่องหนึ่งก็ได้ หรืออาจใช้เสื้อผ้าไปจั๊กจี๋ลูกแทนมือก็ได้อีกเช่นกัน
15. ตีได้ตีดี ไม่ได้ให้ตีลูกนะตัวเอง หมายถึงให้หาเครื่องดนตรีสำหรับเด็กๆ ที่สามารถตีหรือเคาะให้เกิดเสียงได้ จากนั้นก็ลองสาธิตให้เจ้าตัวเล็กดู แค่เจ้าตัวเล็กได้ยินเสียงก็จะรีบคว้าของจากมือคุณแล้วล่ะค่ะ
เตาะแตะ 1-3 ปี
อารมณ์ขันของวัยเตาะแตะนั้น สร้างได้ดังนี้ค่ะ
1. เล่นโยนบอล เอาลูกบอลที่ลูกชอบเล่นมาโยนส่งกับลูก พอบอลตกถึงพื้นก็แกล้งร้องและทำท่าตกใจ ลูกจะหัวเราะชอบใจแล้วโยนใหม่เล่นอีกครั้ง
2. นิทานแสนสนุก เล่านิทานให้ลูกฟังค่ะ โดยทำเสียงประกอบให้ดูเหมือนตัวละครในนิทานจริงๆ หรืออาจลองให้ลูกเล่านิทานให้เราฟังดูบ้าง ก็จะได้ความแปลกใหม่และสร้างเรื่องขำๆ ให้กับครอบครัวได้เช่นกัน
3. ร้องรำทำเพลง เปิดเพลงสนุกที่ลูกชอบหรือเพลงที่เหมาะกับลูก แล้ววาดลวดลายเต้นไปมาให้ลูกทำตาม หรือทำท่ารำ “น้อย นอย นอย…ก็ได้ค่ะ ไม่สงวนสิทธิ์
4. ปั่น ปั่น ปั่น รับรองว่ากิจกรรมปั่นจักรยานจะสามารถเรียกได้ทั้งเสียงหัวเราะและความตื่นเต้นเลยล่ะค่ะ แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องระวังอุบัติเหตุให้เขาด้วยนะคะ
5. ฟุตบอลพาเพลิน การเล่นแบบนี้ทำให้ลูกออกกำลังกายไปในตัว อีกทั้งยังสร้างเสียงหัวเราะให้ทั้งคุณและลูกได้เป็นอย่างดี เตะกันไปกันมา ผลัดกันเป็นคนรักษาประตูก็สนุกดีค่ะ
จอมซน 3-6 ปี
สำหรับวิธีสร้างอารมณ์ขันของเด็กที่โตขึ้นมาสักหน่อยดูจะมีเรื่องราวมากกว่าอารมณ์ขันของเด็กวัยอื่นแต่ต้องเสริมการเรียนรู้ให้ลูกด้วยค่ะ
1.. ละเลงสี กิจกรรมนี้สนุกแน่นอน เพราะเจ้าตัวเล็กได้ฝึกทั้งลากด้วยเส้นสี การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ และใช้จินตนาการควบคู่กันไปด้วย แค่นี้…เสียงหัวเราะก็อยู่แค่ปลายนิ้วค่ะ
2. ทำกับข้าว เมนูวันนี้คุณลูกขอทำเอง คุณแม่คุณพ่อจะกินได้หรือเปล่านั้นไม่รู้ค่ะแต่สิ่งที่รู้คือเจ้าตัวเล็กสนุกที่ได้รู้จักผัก ผลไม้หรือของใช้ในครัวเรือนเพิ่มขึ้นแน่นอน
3. ยิ่งต่อยิ่งสนุก เด็กวัยนี้สามารถต่อบล็อกได้หลากหลายรูปแบบตามจินตนาการแล้วบางคนอาจจะง่ายๆ แต่บางคนคิดซับซ้อนมากขึ้น ยิ่งต่อก็ยิ่งสนุกค่ะ
4. เพลงโปรด ถ้าอยากได้ยินเสียงเอิ๊กอ๊ากของลูกวัยนี้ การร่วมร้องเพลงสุดโปรดไปกับใช้ได้เลยค่ะ บางครั้งลองแกล้งร้องเนื้อผิดหรือร้องเสียงหลงดูสิคะ ลูกจะขำและแก้ไขให้คุณร้องได้ถูกต้องทันทีเลยล่ะ
5. เกมต่อคำ ลองชวนลูกๆ มาเล่นเกมต่อสัมผัสเสียงดูสิคะ เช่น คุณพ่ออาจจะเริ่มด้วย คำว่า ดอกไม้ คุณแม่ต่อด้วยคำว่า ใบหญ้า แล้วก็ให้ลูกๆ ต่อคำซึ่งขึ้นต้นด้วยสระอา เช่น ปาท่องโก๋ ซาลาเปา กาน้ำ ฯลฯ …เล่นต่อคำกันไปจนกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะจนแต้มคิดคำไม่ออก (หรือคุณอาจจะแกล้งนึกคำไม่ออกก็ได้นา)
6. “พ่อแม่เปลี๋ยนไป” หน้าตาที่แปลกไปของพ่อแม่ก็เรียกเสียงฮาให้ลูกได้เหมือนกันไม่ว่าคุณจะแกล้งทำตาเหล่ ปากเบี้ยว ปากจู๋ หรือจะดันจมูกขึ้น ดึงหางตาลง ลองทำดูแล้วสังเกตว่าหน้าไหน ทำให้เจ้าหนูขำกลิ้งได้มากกว่ากัน
7. ปั้นแป้งโด แค่คุณแม่มีแป้งโดให้ลูกแล้วปล่อยให้เขาปั้น จะปั้นอะไรก็ได้ตามใจเขา ซึ่งกิจกรรมนี้ไม่ได้สร้างเสียงหัวเราะเพียงอย่างเดียวนะ แต่ยังช่วยเสริมจินตนาการให้กับเจ้าตัวเล็กได้อีกด้วย
8. แกล้งอำลูก เช่น ลูกบอกว่า “ขอน้ำเย็นกินหน่อยครับ” ลองตอบลูกไปว่า “น้ำเย็นไม่มี มีแต่น้ำมืดแล้ว” รับรองว่าเรียกเสียงหัวเราะได้ตลอดเลยล่ะค่ะ
9. ผลุบๆ โผล่ๆ เกมนี้เด็กๆ ชอบมาก เช่น คุณพ่อกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ลูกก็แกล้งมาโผล่ใต้โต๊ะที่พ่อนั่ง พ่อทำท่าตกใจ…ลูกจะหัวเราะชอบใจทุกครั้งเลยค่ะ
เสียงหัวเราะ และอารมณ์ขันเป็นเพียงเสียงธรรมดาที่ใครๆ ก็สร้างได้ จะหัวเราะเมื่อไหร่ก็ได้ แต่แปลกที่คนเรากลับหัวเราะน้อยลงทุกวัน ถึงเวลาแล้วค่ะ ที่เราต้องสร้างเสียงหัวเราะแห่งความสุขให้เกิดขึ้นในครอบครัวโดยเฉพาะกับลูกน้อย ถ้าไม่อยากให้เขาเป็นเด็กที่ไม่มีความสุข พัฒนาการและการเจริญเติบโตมีปัญหา

[เขียนโดย มนต์ชยา ที่มา..นิตยสารรักลูก ปีที่ 24 ฉบับที่ 286 พฤศจิกายน2549 ]

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ชีวิตนี้ผ่านจุดคุ้มทุนแล้วหรือยัง

ชีวิตนี้ผ่านจุดคุ้มทุนแล้วหรือยัง

กว่าคนหนึ่งคนเติบโตและมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้นั้น โลกนี้ต้องลงทุนกับชีวิตคนแต่ละคนสูงมาก เช่น

  • พ่อแม่ลงทุนประคบประหงมเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่และติดตามดูแลไปตลอดชีวิต
  •  
  • ญาติพี่น้องลงทุนสร้างความสัมพันธ์ให้ความอบอุ่นให้โอกาสได้เป็นญาติพี่น้องกัน คอยช่วยเหลือเจือจุนกัน
  •  
  • ครูบาอาจารย์ลงทุนทั้งกายและสติปัญญาในการอบรมสั่งสอนให้คนมีวิชาความรู้ติดตัว
  •  
  • หัวหน้าในที่ทำงานลงทุนลงแรงในการให้ความรู้ สั่งสอน สนับสนุน ส่งเสริม คอยตักเตือนเพื่อให้คนมีอนาคตในการทำงานที่ดี
  •  
  • เพื่อนร่วมงานลงทุนเอาชีวิตมาเสี่ยงกับชีวิตเรา ลงทุนจิตใจมารองรับอารมณ์ของเรา
  •  
  • คู่สมรสลงทุนทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตมาผูกติดกับชีวิตเราแบบหมดตัวหมดใจ
  •  
  • ลูกลงทุนมาสร้างความรักความผูกพันให้กับพ่อแม่ ลงทุนมาเป็นความหวังความภูมิใจให้กับพ่อแม่
  •  
  • สัตว์และพืชลงทุนสละชีพเพื่อเป็นอาหารให้กับคนเราได้ดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ต่อไป
  •  
  • ศาสนาได้ลงทุนเผยแพร่คำสั่งสอนให้คนทุกคนเป็นคนดีโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ

แล้วคนเราเคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่าทุกวันนี้เราได้ดำเนินชีวิตโดยการชดใช้ทุนจากแหล่งต่างๆบ้างหรือยัง เราเคยให้ผลตอบแทนอะไรแก่แหล่งทุนในชีวิตของเราบ้างหรือยัง ถ้าใครอยากจะทราบว่าชีวิตของเราผ่านจุดคุ้มทุนมาแล้วหรือยัง ลองประเมินชีวิตตัวเองจากหัวข้อดังต่อไปนี้
 

  • พ่อแม่
  •  เราเคยทดแทนบุญคุณพ่อแม่บ้างหรือยัง เช่น บวชแทนคุณ เลี้ยงดูท่าน ทำให้ท่านภูมิใจ ดูแลท่านเมื่อยามเจ็บป่วย พาท่านไปเที่ยวทำบุญ
  •  
  • คู่สมรส
  • เราเคยให้อะไรกับคนที่เรารักและรักเราบ้างหรือยัง เช่น ให้เวลา ให้ความรู้สึกที่ดีต่อกัน ให้ทรัพย์สินเงินทอง ให้เกียรติ ให้ความรักความเข้าใจแบบที่เขาเป็น ให้เขาได้มีความสุขจากความประพฤติดีของเรา
  •  
  • ญาติพี่น้อง
  • เราเคยให้อะไรตอบแทนแก่ญาติพี่น้องของเราบ้างหรือยัง เช่น ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล ให้โอกาส เขาไม่คุยโม้โอ้อวดจากความภาคภูมิใจที่เขาเห็นเราประสบความสำเร็จ
  •  
  • ครูบาอาจารย์และสถาบันการศึกษา
  •  เราเคยให้อะไรตอบแทนกลับไปยังผู้ให้ความรู้เราบ้างหรือยัง เช่น ให้ชื่อเสียงแก่สถาบันจากความสำเร็จของเรา ให้ความช่วยเหลือแก่รุ่นน้องๆ ทั้งเรื่องการถ่ายทอดวิชาความรู้ประสบการณ์หรือการช่วยเหลือในด้านเงินทองแก่รุ่นน้อง
  •  
  • เพื่อนร่วมงาน
  • เพื่อนร่วมงานหมายรวมถึงตั้งแต่หัวหน้า เพื่อน และลูกน้อง เราสามารถให้ความหวังกับหัวหน้าได้โดยการทำงานดี ทุ่มเททำงาน สร้างความภูมิใจให้หัวหน้าเมื่อเขาเห็นเราประสบความสำเร็จ อย่างน้อยอดีตหัวหน้าเราจะได้บอกใครต่อใครได้ว่าเราเคยเป็นลูกน้องเขามาก่อน เราสามารถตอบแทนเพื่อนร่วมงานและลูกน้องได้โดยการให้เกียรติ ช่วยเหลือ สนับสนุน ส่งเสริมให้เพื่อนร่วมงานและลูกน้องทำงานให้ประสบความสำเร็จ
  •  
  • สังคม
  • ลองถามตัวเองดูว่าเราเกิดมาทั้งทีมีแต่การเป็นผู้รับสิ่งต่างๆจากสังคมมามากมาย เราเคยตอบแทนสังคมโดยการช่วยเหลือคนยากจน ทำบุญ ทำทาน ช่วยเหลือคนพิการ คนด้อยโอกาสในสังคมบ้างหรือยัง เราเคยนำเอาสิ่งที่เรามีอยู่ เช่น ความรู้ เวลา ทรัพย์สินเงินทอง แบ่งปันให้คนอื่นในสังคมบ้างหรือยัง มากน้อยเพียงใด คุ้มค่ากับสิ่งที่เราได้รับมาจากสังคมแล้วหรือยัง เช่น คิดง่ายๆว่าถ้าเราเคยได้รับการช่วยเหลือจากคนอื่นตอนที่รถเราเสียกลางทาง แล้วเราได้มีโอกาสช่วยเหลือคนที่เขารถเสียเหมือนเราบ้างหรือยัง ถ้าเราเคยได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมสังคมตอนที่เราเจ็บป่วย แล้วเราเคยช่วยเหลือคนป่วยที่ไม่ใช่ญาติเราบ้างหรือยัง

     

สรุป

       คนเราเกิดมาพร้อมกับหนี้ยิ่งมีชีวิตยืนยาว ก้าวหน้ามากเพียงใด เรายิ่งเป็นหนี้คนรอบข้างและสิ่งต่างๆในโลกนี้มากขึ้นเท่านั้น เพราะความก้าวหน้าของเราย่อมต้องใช้ทุนจากแหล่งต่างๆมากมาย เช่น คนที่ยิ่งจบการศึกษาสูงๆก็ยิ่งเป็น  หนี้พ่อแม่ครูบาอาจารย์มากขึ้น คนที่ร่ำรวยยิ่งเป็นหนี้คนทำงานหรือลูกค้า คู่ค้ามากยิ่งขึ้น ดังนั้น ขอให้คิดว่าเราเกิดมาเพื่อชดใช้หนี้ที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจก่อขึ้นให้ครบถ้วน       จึงจะได้ชื่อว่า ชีวิตนี้มีจุดคุ้มทุนแต่ถ้าใครสามารถตอบแทนคนอื่นและสิ่งรอบข้างนี้ได้มากกว่าที่เราได้รับมาก็ได้ชื่อว่าชีวิตนี้มีกำไรหวังเป็นอย่างยิ่งว่าถึงแม้เราไม่รู้ว่าจะตอบแทนบุญคุณใครอย่างไรจึงจะเรียกว่าคุ้มทุน ก็ให้คิดเพียงง่ายๆว่าเราเคยได้รับอะไรจากใครบ้าง แล้วเราได้เคยตอบแทนอะไรให้แก่คนเหล่านั้นคืนไปบ้างหรือยัง ถ้าตอบว่าเคยก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ


ที่มา FW Mail

วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สัปดาห์ที่ 10 - 14 พัฒนาการของทารกในครรภ์

เมื่อลูกในครรภ์อายุได้ 14 สัปดาห์ อวัยวะส่วนสำคัญทั้งหมดจะสร้าง เรียบร้อยแล้วทั้งสิ้น ลำไส้และอวัยวะส่วนต่างๆ เริ่มขยายขนาดและตบ แต่งให้สมบูรณ์ ส่วนหัวจะยาว 1 ใน ของความยาวลำตัว ส่วนลูกตาจะ สร้างสมบูรณ์ในขณะที่เปลือกตายังปิดและไม่ทำงาน หน้าตาสมบูรณ์ แล้ว ลำตัวเหยียดตรง เริ่มมีซี่โครงและกระดูก เริ่มมีเล็บมือ เล็บเท้า และขนบางส่วน อวัยวะเพศแยกได้ชัดเจน หัวใจเต้น 110 - 160 ครั้ง/ นาที ทารกเริ่มกลืนน้ำคร่ำและถ่ายปัสสาวะ อาจมีอาการสะอึกเป็นครั้ง คราว ลูกเริ่มดิ้นแล้ว แต่ไม่แรงพอที่จะทำให้คุณแม่รู้สึกได้ในช่วง สัปดาห์ที่ 14 นี้ ลูกในครรภ์จะมีความยาว 9 ซม. และหนัก 48 กรัม
อีกประมาณ 26 สัปดาห์เราก็จะเจอกันแล้วนะ ลูกพ่อ