วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทิพบอก….ลูกเริ่มดิ้น แล้วครับ

สัปดาห์ที่ 20 ของการตั้งครรภ์ ช่วงนี้ว่าที่คุณแม่เริ่มใส่ชุดคลุมท้องน่ารัก น่ารัก แบบสาว ๆ แล้ว กว่าจะฝ่าด่านได้แต่ละด่านของจิตใจของว่าที่คุณแม่ยากส์ เอาการเหมือนกันสืบเนื่องจากความตั้งใจของเธอจะใส่ชุดคลุมท้องตั้งแต่วันจันทร์ที่แล้ว แต่ใส่แล้วมีคนแซว.....ความตั้งใจเลยหมดไป เราก็ให้กำลังใจตลอดแต่เราก็รู้ว่ามันยากส์นะเรื่องชนะจิตใจตัวเอง อย่างที่สุภาษิตบอก “จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว” ผ่านช่วงวันหยุดยาวเข้าพรรษาวันอาทิตย์ ที่ผ่านมาพาว่าที่คุณแม่ไปไหว้พระที่วัดหลวงพ่อโต มีผู้หลักผู้ใหญ่แนะนำมา ช่วงตั้งครรภ์ให้ทำบุญใส่บาตรบ่อยๆ อธิษฐาน ให้ลูกสุขภาพแข็งแรง เราสองคนก็พยายามทำเท่าที่โอกาสจะอำนวย อย่างให้เงินขอทานเราก็จะบอกลูกในครรภ์ด้วยว่าทำบุญ ไม่รู้ลูกจะทราบไหมแต่เราอยากให้ลูกเป็นคนที่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่หวงของ สอนเรื่องการให้นะ
ช่วงนี้ว่าที่คุณแม่บอกว่าลูกดิ้นบ่อยขึ้นและจะดิ้นเป็นเวลา โดยจะสังเกตได้ช่วงหลักรับประทานอาหารเย็นแล้วนั่งพักผ่อน ...โดยเฉพาะเวลาที่มีการเปิดเพลงของ Beethoven ให้ลูกฟังในตอนเย็นก่อนนอน จะดิ้นเยอะเป็นความรู้สึกที่มีความสุขสำหรับว่าที่คุณแม่ครับ วันเสาร์นี้หมอ รพ.นวมินทร์ 9 นัดตรวจครรภ์ครั้งที่ 4
ผลเป็นอย่างไรจะแจ้งให้เพื่อนพ้องน้องพี่ที่ติดตามได้รับทราบครับ ปีนี้เพื่อน ที่เรียนมหาลัยขอนแก่นด้วยกันคลอดหลานรุ่นกัน 2 คนแล้วครับ ยินดีด้วยกับพี่เชาว์ได้ลูกสาว และ ลูกท่านผอ. นภ ได้ลูกสาวเหมือนกัน

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เพศสัมพันธ์ กับการตั้งครรภ์

บางคนอาจจะอายที่จะพูดถึงเรื่องนี้นะครับ ผมมีข้อมูลจาก คุณหมอท่านหนึ่ง ชื่อ นายแพทย์สุรพงศ์ อำพันวงษ์ บทความจาก E-Lib Online มาฝากครับ

แม้จะมีบทเรียนที่เกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ที่เรียกกันง่ายๆ ว่า "เพศศาสตร์ศึกษา" อยู่ในหลักสูตรการศึกษาในหลายๆ ระดับ แต่ก็ไม่ทำให้ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะวัยรุ่นมีความรู้ลึกซึ้งเพียงพอ เกี่ยวกับอวัยวะเพศของตนเอง ความรู้เรื่องอวัยวะเพศของเพศตรงข้าม ยิ่งกว่านั้นความรู้เรื่องการร่วมเพศ การคุมกำเนิด การตั้งครรภ์ ยังไม่เพียงพอที่จะมีผลในเชิงปฏิบัติในชีวิตจริง จึงเกิดผลเสีย ต่อสังคมโดยรวมมากมายหลายประการ รวมไปถึงเรื่องของการ ขาดความสุขในครอบครัว เนื่องจากคู่สมรสหรือสามีภรรยาไม่สามารถ มีความสุขหรือหาความสุขในชีวิตคู่ระหว่างกันได้

จากการสัมภาษณ์สูติแพทย์อาวุโสท่านหนึ่งคือ นายแพทย์อุดมศักดิ์ ศรีแสนงาม เพื่อขอความรู้จากประสบการณ์ที่ปฏิบัติงานด้านสูตินรีแพทย์ มายาวนานว่า
"ความสำคัญของความรู้เรื่องเพศสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา มีมากน้อยเพียงใด"

นายแพทย์อุดมศักดิ์ ศรีแสนงาม ตอบทันทีว่า
มีความสำคัญมาก แม้แต่เรื่องเล็กๆ คือ "การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์" ที่หลายคนมองข้าม ก็อาจเป็นปัญหาได้

พร้อมยกตัวอย่าง ผู้ที่เคยมาขอคำปรึกษาโดยตั้งนามสมมติว่า เป็นคุณสิวิกา วัย 23 ปี ที่กำลังจะเป็นคุณแม่ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2000 ตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ประมาณ 20 สัปดาห์แล้ว 5 เดือนที่ผ่านมา เธอมีอาการแพ้ท้อง (MORNING SICKESS) ชนิดรุนแรงมาก ชาวตะวันตกส่วนมากจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มักจะเกิดขึ้นในเวลาเช้าๆ แต่สำหรับสาวชาวไทยปรากฏว่า ไม่จำกัดเวลา มักสำแดงอาการ "ฟ้องชาวบ้าน" ได้ตลอดวันไม่มีเลือกกาลเทศะ บางคนเป็นตลอดวัน วันละหลายๆ ครั้ง เช้า สาย บ่าย เย็น ไม่มีกำหนดแน่นอน โอ๊กๆ อ๊ากๆ คลื่นเหียนอาเจียนเป็นอาชีพเลย เห็นแล้วน่าสงสารมาก

นายแพทย์อุดมศักดิ์ ศรีแสนงาม เล่าต่อว่า เมื่อคุณสีวิกาตั้งครรภ์ ใกล้ครบ 6 เดือน ได้มาปรึกษาเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ระหว่างตั้งครรภ์ ควรจะต้องปฏิบัติอย่างไร เพราะตลอดเวลา 5 เดือนที่ผ่านมา ที่คุณสีวิกาไม่ยอมมีเพศสัมพันธ์กับสามีมาตลอด จนเธอเกรงไปว่า อาจจะมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างตัวเธอเองกับสามี เพราะถ้าปล่อยให้อยู่ในสภาพคล้าย "ปิดเทอม" อย่างนี้ต่อไป สามีอาจจะไปหาโรงเรียนใหม่ หรือบ้านใหม่แล้วหรือไม่

นายแพทย์อุมดศักดิ์ ศรีแสนงาม ยังได้เล่าถึง ความรู้สึกต้องการทางเพศของคุณสีวิกาเองว่า โดยความเป็นจริงแล้ว คุณสีวิกามีความรู้สึกต้องการมีเพศสัมพันธ์มากขึ้น แต่ก็วิตกกังวลว่า จะมีอันตรายต่อทารกในครรภ์หรือไม่ และโดยเฉพาะในช่วงที่เธอ ่มีอาการแพ้ท้อง คุณสีวิภาก็มีไฟปรารถนาเช่นเดียวกัน ซึ่งโดยหลักสรีรวิทยาแล้ว การตั้งครรภ์ทำให้เกิดการคั่งเลือดของอวัยวะเพศ หมายถึง มีเลือดมาหล่อเลี้ยงเป็นจำนวนมาก ย่อมมีความต้องการทางเพศ เพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา การร่วมเพศในระหว่างตั้งครรภ์ จึงไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด เพียงแต่ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ต้องเข้าใจร่วมกันว่า การมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนี้จะต้องปราศจาก ความรุนแรงโดยสิ้นเชิง

นายแพทย์อุดมศักดิ์ ศรีแสนงาม ให้ความรู้อันเป็นประโยชน์ แก่สตรีตั้งครรภ์โดยทั่วไปเพิ่มเติมอีกว่า การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ควรมีข้อพึงระมัดระวัง 7 ประการคือ

1. ควรงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ในสองช่วงเวลา ระยะที่หนึ่งคือ ช่วงเวลาระหว่างการตั้งครรภ์ได้ 1-3 เดือนแรก เพราะการปฏิสนธิกำลังเริ่มต้นก่อตัวและยังอยู่ในภาวะที่อ่อนแอ การร่วมเพศในระยะนี้เป็นสิ่งที่ควรละเว้นเสีย เพื่อหลีกเลี่ยงการแท้ง
ระยะที่สองคือ หนึ่งเดือนก่อนครบกำหนดคลอดเพราะระยะนี้ ปากมดลูกอ่อนตัวมาก และมักเปิดได้บ้างเล็กน้อยในรายที่เคยมีบุตรแล้ว หากมีการร่วมเพศอาจไปกระตุ้นให้เกิดการเจ็บครรภ์ก่อนกำหนดจริงได้ เพราะฉะนั้น จึงควรงดการร่วมเพศเพียงถนอมสุขภาพมารดา และทารกในครรภ์

2. ควรระมัดระวังเรื่องความสะอาด เพราะอวัยวะเพศชาย มีเชื้อนานาชนิด อาจถูกปล่อยไว้ในช่องคลอดทำให้เกิดอันตรายได้ ภายหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ การป้องกันคือ การทำความสะอาดก่อน แต่ถ้ากลัวมากแนะนำให้ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ส่วนการทำความสะอาดของฝ่ายหญิงไม่จำเป็นต้องสวนยา หรือสวนน้ำเข้าไปภายในช่องคลอดเพราะอาจเกิดอันตราย คือ การติดเชื้อโรคลุกลามเข้าไปสู่ทารกในครรภ์ได้ เพียงทำความสะอาด ภายนอกก็เพียงพอแล้ว

3. ในช่วงระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ฝ่ายชายสามารถลูบไล้หรือจับต้องฝ่ายหญิงได้ทั่วร่างกาย แต่ไม่ควรจับต้องอวัยวะเพศฝ่ายหญิง และการจับต้องลูบไล้นั้น ควรเป็นการสัมผัสโดยเบาๆ ด้วยมือเท่านั้น สำหรับสตรีที่มีหัวนมบอด ฝ่ายชายอาจกระตุ้นโดยการดูดหัวนทเบาๆ จะทำให้หัวนมยืดออกได้ เท่ากับเป็นการเตรียมหัวนมให้ลูกดูดได้ต่อไปด้วย และขอย้ำว่า การลูบการสัมผัส การดูดหัวนม ต้องทำด้วยความละมุนละไม ปราศจากความรุนแรงโดยสิ้นเชิง

4. ข้อควรระวังระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ก็คือ ฝ่ายชายจะต้องไม่ทิ้งน้ำหนักตัว กดทับลงบนหน้าท้องของภรรยา เพราะอาจจะเกิดการกระทบกระเทือนต่อมดลูกและทารกในครรภ์ได้ จะต้องใช้ความละมุนละไมโดยปราศจากความรุนแรงโดยสิ้นเชิงเช่นกัน และสูติแพทย์ประจำตัวของสตรีที่ตั้งครรภ์หลายท่านน่าจะสามารถ ให้คำแนะนำโดยละเอียดในท่วงท่าที่เหมาะสมในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ได้ ขอเพียงให้สามีและภรรยาที่ตั้งครรภ์มีความกล้าพอ ที่จะปรึกษาหารือในเรื่องนี้เท่านั้น

5. การมีเพศสัมพันธ์ควรมีกำหนดหรือข้อจำกัดอย่างไร คำตอบคือ ขณะตั้งครรภ์อายุ 3-6 เดือน ควรมีไม่เกินสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง พออายุครรภ์ได้ 5-8 เดือน ไม่ควรเกินเดือนละ 3 ครั้ง ต่อไปพออายุครรภ์ เดือนที่ 9 หรือเดือนสุดท้ายก่อนถึงกำหนดคลอด ไม่ควรเกิน 2 ครั้ง

6. ข้อกำหนดหรือข้อจำกัดดังกล่าวข้างต้นนั้น อาจไม่เพียงพอสำหรับความต้องการมีเพศสัมพันธ์สำหรับบางคู่สามีภรรยา ในกรณีเช่นนั้นสามีภรรยาน่าจะมีความเห็นใจ เข้าใจ และมีวิธีการ ที่จะช่วยเหลือปลดเปลื้องความต้องการเพศสัมพันธ์โดยวิธีอื่นๆ ซึ่ง นายแพทย์อุดมศักดิ์ ศรีแสนงาม ยินดีที่จะให้คำปรึกษาเป็นการส่วนตัว เพราะไม่บังควรที่จะบรรยายเรื่องรวมเหล่านี้ลงในบทความวิชาการ

7. ในช่วงหลังคลอดจะต้องทิ้งระยะเวลา ให้มดลูกมีการหดตัวเล็กลง หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "รอให้มดลูกเข้าอู่" (INVOLUTION) คือ มดลูกหดเล็ก เข้าสู่อุ้งเชิงกราน ซึ่งจะใช้เวลาในระยะแรก 14 วัน แต่ถ้าจะหมายถึงกลับเข้าสู่สภาพเดิมอย่างแท้จริงก็จะใช้เวลา นานถึง 6 สัปดาห์ ดังจะเห็นว่าหลังคลอด สภาพร่างกายของสตรี ยังอยู่ในภาวะอ่อนแอกว่าปกติ จึงไม่ควรถูกรบกวนให้กระทบกระเทือน จากการมีเพศสัมพันธ์ และเพื่อความปลอดภัยของภรรยา สามีที่ดีควรจะอดมนรอให้พ้นระยะเวลา 6 สัปดาห์ที่ว่านี้ไปก่อน จึงจะเริ่มมีเพศสัมพันธ์ได้ปลอดภัย การมีเพศสัมพันธ์ก่อนกำหนด อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายและสุขภาพของมดลูกของฝ่ายหญิงได้ การมีเพศสัมพันะก่อนเวลาอันควรอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นได้ในภายหลัง

จะต้องไม่ลืมว่า ตามหลักการของ มาสเตอร์และจอห์นสัน ที่กล่าวไว้ว่า
"ถ้าคู่สมรสไม่สามารถทำความเข้าใจกันได้ในเรื่องเพศแล้ว เรื่องอื่นๆ ในชีวิตสมรสก็อาจจะทำความเข้าใจกันไม่ได้เช่นกัน"

ดังนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาที่ดีจึงสำคัญมาก คือ สามีภรรยาควรมีทัศนคติที่ดีต่อกันตั้งใจร่วมกันที่จะปฏิบัติหน้าที่ สามีภรรยาและหน้าที่บิดามารดาให้สมบูรณ์ มีความตั้งใจ และต้องการให้มีความสุขในเรื่องเพศ สามารถปรับความเข้าใจ ในเรื่องความต้องการทางเพศ ไม่นำโรคภัยมาสู่คู่ของตน รับผิดชอบต่อบุตรเมื่อพร้อมที่จะมีรวมทั้งรู้การคุมกำเนิด และการวางแผนครอบครัวเพื่อพัฒนาครอบครัวให้เจริญต่อไป

ข้อแนะนำสำหรับว่าที่คุณพ่อคุณแม่

1. หาความรู้เพื่อเกิดความเข้าใจกระบวนการตั้งครรภ์ การคลอด การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ และการดูแลสุขภาพของคุณแม่ กับลูกเกิดใหม่ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ควรจะเรียนรู้ด้วยกัน ปรึกษาหารือกัน และหากเป็นไปได้ก็ควรสมัครเข้ารับการฝึกอบรมเตรียมคลอด และการเลี้ยงดูลูก ซึ่งจะทำให้มีโอกาสฝึกซ้อม รู้วิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง และซักถามสิ่งที่ข้องใจกับแพทย์พยาบาลหรือผู้รู้อื่นๆ ให้คลายกังวล และมั่นใจมากขึ้น

2. สำรวจข้อมูลเกี่ยวกับคุณหมอและสถานพยาบาล ที่จะเลือกไปฝากครรภ์และคลอด โดยคำนึงถึง
2.1 ความรู้ ความสามารถ ผลงานซึ่งรู้ได้จากผู้เคยได้รับการดูแล และวุฒิของคุณหมอ
2.2 ความเอาใจใส่ การให้การดูแลและความเต็มใจ ที่จะให้คำการปรึกษาแนะนำ ซึ่งจะรู้ได้จากประสบการณ์ การไปขอรับการตรวจ และหรือข้อมูลจากคนไข้เก่าของคุณหมอ
2.3 ความพร้อมของสถานพยาบาล ทั้งด้านบุคลากร เครื่องมือความสะอาดและความสะดวก ซึ่งเห็นได้ไม่ยาก เวลาไปเยี่ยมญาติหรือเพื่อนที่ไปคลอด และคำนึงถึงความสะดวก ในการเดินทางด้วย

3. หาข้อมูลและเตรียมเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งมักจะไม่สามารถกำหนด แน่นอนได้ เพราะการคลอดแต่ละครั้งอาจมีเหตุการณ์ หรือความจำเป็นต่างๆ ที่แตกต่างกัน

4. หลังจากตัดสินใจไปฝากครรภ์กับสูติแพทย์แล้ว ควรไปรับการตรวจและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอ ควรรู้วิธีสังเกตอาการของตนเองและปรึกษาคุณหมอ เกี่ยวกับการฝึกหายใจ เตรียมคลอด เตรียมเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ตลอดจนการนัดหมายเพื่อเข้าโรงพยาบาลเวลาเจ็บครรภ์คลอด

5. ควรปรึกษาเกี่ยวกับวิธีการคลอด การใช้ยา โอกาสที่จะให้คุณพ่อ มีส่วนร่วมในกระบวนการคลอด และการดูแลลูกแรกเกิดด้วยตนเอง ให้มากที่สุด ตามความตกลงใจของคุณพ่อ คุณแม่ มิฉะนั้น คุณหมอคุณพยาบาลอาจมีความเข้าใจผิด คิดว่า คุณไม่ต้องการดูแลลูก เพราะเจ็บหรือเหนื่อยเกินไป จึง "ช่วย" ให้ยาระงับปวด ยาชา เพื่อลดความเจ็บปวดซึ่งมักทำให้ง่วง "ช่วย" พาลูกเกิดใหม่ไปเลี้ยงแทน ซึ่งเป็นความปรารถนาดีแต่อาจเป็นสิ่งที่คุณไม่อยากให้เกิดขึ้นก็ได้ เพราะหลายท่านอาจจะต้องการหลีกเลี่ยงยาระงับปวด อาจต้องการพบลูกเร็วที่สุด และต้องการฝึกดูแลให้นมลูกอย่างถูกวิธีตั้งแต่แรก ในเรื่องเหล่านี้ คุณพ่อคุณแม่สามารถเรียนคุณหมอคุณพยาบาลได้ เพื่อให้ประสบการณ์คลอดบุตรมีแต่สิ่งที่น่ายินดี และเป็นการวางรากฐานที่ดี ของชีวิตสำหรับสมาชิกครอบครัวคนใหม่ "ลูกคนแรก"

บทความ จาก http://www.elib-online.com หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เพลงไทย ค้างคาวกินกล้วย

คุณแม่ฟัง ลูกน้อยในครรภ์ตื่นตัวดี ครับ

วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Moonlight Sonata

'ดนตรี' ทำให้ลูกคุณฉลาดได้จริงหรือ?





...ที่ว่ากันว่าให้ลูกฟังเพลงตั้งแต่อยู่ในท้อง ทำให้ลูกฉลาดขึ้นเรื่องจริงเป็นอย่างไร? กับทฤษฎี 'โมสาร์ท เอฟเฟค' ได้ผลแค่ไหน? ลองมาฟังคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญ

เรื่องของดนตรีกับการพัฒนาสติปัญญาและความสามารถของทารกและเด็ก ดูจะได้รับการกล่าวถึงมาหลายครั้งแล้ว แม้แต่ทารกในครรภ์มารดาผู้เชี่ยวชาญเองก็ยอมรับว่าการให้ดนตรีตั้งแต่อยู่ในท้องจะช่วยเรื่องของพัฒนาการได้มาก



'มติชนออนไลน์' จึงได้ไปสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญ เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ดร.สุพาพร เทพยสุวรรณ นักวิชาการการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัย และผู้เขียนหนังสือ 99 วิธีบอกรักลูก และ ดร.แพง ชินพงศ์ วิทยากรผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง จบปริญญาเอกจากสหรัฐ ด้านดนตรีศึกษา สองนักวิชาการที่ทำงานเกี่ยวกับเรื่องเด็กและดนตรี โดยล่าสุดทางกระทรวงศึกษาธิการ นำเพลงที่อาจารย์ทั้งสองท่านแต่ง ได้แก่ เพลงตึ๊ด..ตี๊ด.. ไปศึกษากับทารกว่ามีส่วนช่วยในเรื่องของพัฒนาการต่างๆ หรือไม่



ดร.สุพาพร กล่าวว่า ดนตรีสามารถให้ทารกฟังได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง เริ่มได้ตอนอายุครรภ์ประมาณ 5 เดือนก็สามารถเปิดเพลงให้ลูกฟังได้แล้ว โดยเพลงที่ควรจะเปิดนั้นจะต้องเป็นเพลงเบาๆ ฟังแล้วผ่อนคลาย เนื่องจากว่าขณะที่ตั้งครรภ์นั้นคุณแม่อาจจะรู้สึกเครียด ทั้งจากการทำงาน ปัญหาภายในบ้าน หรือความกังวลในเรื่องลูก เพลงจะช่วยไม่ให้เกิดความเครียด นอกจากนี้ หากฟังแล้วรู้สึกดี มีความสุข ก็จะช่วยให้หลั่งสารความสุขที่เรียกว่า เอ็นโดฟีน ออกมาด้วย จะส่งผลให้ทารกเป็นเด็กอารมณ์ดี เลี้ยงง่าย อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้ยังไม่มีผลงานวิจัยชิ้นใดออกมายืนยันได้ชัด แต่สิ่งที่ดีคือการทำให้แม่ท้องรู้สึกมีความสุขนั้นเป็นจุดสำคัญมากกว่า



ดร.แพง กล่าวเสริมว่า แต่มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่า เด็กที่อายุครรภ์ 5 เดือนได้ฟังเพลงตั้งแต่อยู่ในท้อง เมื่อคลอดออกมาดูโลกแล้ว ในการศึกษาพบว่าทารกสามารถจดจำเพลงนั้นๆ ที่เคยฟังตั้งแต่อยู่ในท้องได้ หรือแม้แต่เวลาที่คุณพ่อ คุณแม่คุยกับเขาตอนที่อยู่ในท้อง ก็พบว่าเด็กจะหันตามเสียงเรียกนั้นๆ ดนตรีก็เช่นกันเด็กจะมีปฏิกริยาจดจำเพลงที่เคยได้ยินทันที แม้ว่าดนตรีจะตอบสนองต่อการจดจำของทารกและเด็ก แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยออกมายืนยันว่าจะทำให้เด็กฉลาดกว่าเด็กคนอื่นที่ไม่ได้ฟัง เพียงแต่ว่าอาจจะช่วยในเรื่องของการพัฒนาความพร้อมต่างๆ ได้เร็วกว่าเด็กคนอื่นเท่านั้น



ดร.แพง ยังกล่าวถึง 'K448' ซิมโฟนีเลื่องชื่อของ 'โมสาร์ท' ที่ว่ากันว่าทำให้เด็กปราดเปรื่อง ตามทฤษี 'โมสาร์ท เอฟเฟค' ว่า เรื่องนี้ตัวเจ้าของทฤษฎี ดร.ฟรานซิส เราส์เชอร์ เองก็ออกมาแก้ข่าวแล้วว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพียงแต่สื่อเอาไปพาดหัวตีความเอง ความจริงแล้ว ในการศึกษาดร.ฟรานซิส ให้นักศึกษากลุ่มหนึ่งฟังเพลงของโมสาร์ท เพื่อวัดระดับสติปัญญาของนักศึกษากลุ่มนี้ และก็พบว่าเพลงเปียโน โซนาต้า ในกุญแจดีเมเจอร์ K448 ทำให้ระดับความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ของกลุ่มทดลองเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จนเรียกงานวิจัยของตนเองว่า 'โมสาร์ท เอฟเฟค' และยังไม่ได้ทำการทดลองกับเพลงอื่นๆ ดูว่าแตกต่างกันหรือไม่ รวมทั้งกลุ่มตัวอย่างอื่นๆ ด้วย จึงยังสรุปไม่ได้ว่าทำให้คนเราฉลาดขึ้นจริง



'จึงไม่ได้หมายความว่า เราต้องฟังแต่เพลงของโมสาร์ท หรือฟัง 'K448' เท่านั้น เพลงไทยเดิมของเราก็สามารถฟังได้ และเพิ่มระดับสมาธิให้เราได้ เช่น เพลงค้างคาวกินกล้วย ซึ่งล่าสุดทางกระทรวงศึกษาธิการได้นำเพลงนี้ไปทดสองดูกับเด็กนักเรียนว่าจะส่งผลต่อพัฒนาการและระดับสติปัญญาหรือไม่ หรือเพลงอย่าง อัศวลีลา หรือที่เรารู้จักกันทั่วไปคือ เพลงแก้วหน้าม้า ก็เป็นเพลงที่มีท่วงทำนองที่ไพเราะ และมีความซับซ้อนของเสียง ซึ่งคล้ายกับ 'K448' อย่างมาก และหากฟังให้ดีจะพบว่า 'K448' ก็คล้ายกับการตีระนาดทุ้ม และระนาดเอกควบคู่กันไป' ดร.แพง กล่าว



ส่วนในการบำบัดเด็กพิเศษนั้น ดร.แพง แนะนำว่า เราเคยศึกษากับเด็กดาวน์ซินโดรมพบว่า การให้ฟังดนตรีจะช่วยเพิ่มสมาธิ และพัฒนาการได้มากขึ้น แม้ในช่วงแรกจะนับว่าช้าอยู่ แต่เมื่อฝึกบ่อยเขาก็จะสามารถฮัมเพลงนั้นๆ ได้ รวมไปถึงเด็กออทิสติก พบว่าดนตรีช่วยเพิ่มสมาธิและความสามารถได้อย่างยอดเยี่ยม เด็กออทิสติกบางคนเพียงแค่ได้ยินเสียง ก็สามารถกดคีย์โน้ตเพลงตามได้แล้ว ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นเราพบว่า 90% สามารถเล่นเพลงยากๆ ที่เด็กปกติเล่นไม่ได้อีกด้วย ที่สำคัญคือดนตรียังช่วยในการเข้าสังคมให้กับเด็กพิเศษเหล่านี้



สุดท้ายนี้ สิ่งที่ดร.สุพาพร อยากจะกล่าวเสริมคือ ดนตรีมีความสำคัญมาก เป็นเสมือนทางลัด หรือทางด่วนของการเรียนรู้ ซึ่งสอดแทรกสาระ และวิชาการลงไป เช่น วิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ ที่สำคัญคือควรใช้ดนตรีในการส่งเสริมคุณธรรมด้วย เพราะดนตรีตอบสนองธรรมชาติของเด็กได้อย่างดี



ขณะที่ ดร.แพง กล่าวว่า นอกจากดนตรีจะช่วยเด็กและเยาวชนแล้ว อยากให้มีการนำดนตรีมาช่วยบำบัดสังคมด้วย เช่น ช่วยเหลือชุมชน ดึงเยาาวชนให้เล่นดนตรีแทนการติดการพนันหรือยาเสพติด ช่วยบำบัดคนแก่ หรือคนป่วย เพราะเชื่อว่าดนตรีให้อะไรมากกว่าที่เราคิด



ข้อมูลข่าวโดยมติชนรายวันออนไลน์ วันที่ 8 เมษายน 2551

ข้อมูลจาก http://www.dmh.go.th/sty_libnews/news/view.asp?id=9074

นับการตั้งครรภ์ของว่าที่คุณแม่ของผม สัปดาห์ที่ 19 แล้วครับ

    ใกล้ถึงครึ่งทางแล้วครับ สำหรับสัปดาห์ที่ 20 ของการตั้งครรภ์   ในเดือนกรกฎาคม หมอนัดตรวจครรภ์ในวันที่  31  ก.ค.  53   ครั้งนี้น่าจะทราบเพศของทารกได้ครับ  สัปดาห์ที่ 19  นี้ ว่าที่คุณแม่ของลูกทานได้เพิ่มขึ้น ชั่งน้ำหนัก น่ำหนักเพิ่มขึ้น 3.5  กก. เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ คุณหมอให้ว่าที่คุณแม่ เพิ่ม นน. สัปดาห์ละ  ครึ่ง กิโลกรัม ครับ แต่สำหรับผมตอนนี้จะ 80   กิโลกรัมอยู่แล้วครับ  น้ำหนัก ขึ้นไม่ยั้งตั้งแต่แฟนตั้งครรภ์มา จนโดนแซวสงสัยจะแพ้ท้องแทนเมีย   สังเกตอาการของผมที่ไม่เคยเกิดขึ้น และมีอาการช่วงที่ทิพย์ท้องคือ  น้ำลายออกเยอะในบางช่วง  พอน้ำลายออกมาเยอะต้องหาอะไรทาน ถ้าไม่ทานจะเกิดอาการปั่นป่วนในท้อง  แต่ยังไม่ถึงขั้นอ้วกครับ .....เอ มันเกิดอะไรขึ้น     สำหรับว่าที่คุณแม่แล้วช่วงนี้มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นเยอะครับ ตามตำราบอกไว้ดังนี้ 

การเปลี่ยนแปลงของร่างกายคุณแม่


ร่างกายของคุณแม่ขณะนี้จะขยายใหญ่ขึ้น ไม่เพียงแต่หน้าท้องเท่านั้น แต่ต้นขาและน่องก็จะมีขนาดใหญ่ขึ้นด้วย ช่วงนี้ต้องทาครีมป้องกันท้องและส่วนที่ขยายจะลายครับ( แนะนำครีม ดีไลท์ จากร้านสมุนไพรทิพย์ครับ )   ตอนนี้ส่วนยอดของมดลูกจะอยู่ที่บริเวณสะดือ หากลองวางนิ้วลงไปบริเวณนั้นบางทีคุณแม่อาจจะรู้สึกได้ มดลูกจะมีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆและมีขนาดโตขึ้นสัปดาห์ละประมาณ 1 เซนติเมตร สีผิวบริเวณกึ่งกลางของท้องจะเข้มมากขึ้น และคุณแม่อาจพบว่ามีสีผิวเข้มขึ้นเป็นบางจุดบนใบหน้าด้วย คุณแม่จะมีเหงื่อออกมากในช่วงนี้เนื่องจาก อัตราการเผาผลาญพลังงานที่เพิ่มมากขึ้นทำให้เกิดความร้อน

เต้านมยังคงขยายใหญ่ขึ้นไปอีก และสีผิวบริเวณหัวนมจะเข้มขึ้น คุณแม่จะมีน้ำหนักเพิ่มมากขึ้นอย่างน้อย 6 ปอนด์แล้วในตอนนี้

เมื่อคุณแม่นอนลงหรือนั่งพัก ในท้องของคุณไม่หยุดพักตามไปด้วย เมื่อทารกมีการเคลื่อนไหวและพัฒนากล้ามเนื้อต่างๆ ในช่วงเย็นๆคุณแม่จะพบว่าเป็นช่วงที่ทารกมักมีการเคลื่อนไหวมากที่สุด

คุณอาจจะยังคงมีอาการท้องผูกเช่นเดิม อาจมีอาการแสบลิ้นปี่และอาการที่เกิดจากอาหารไม่ย่อย เช่น ท้องอืด เรอ มีแก๊สในกระเพาะอาหารมากผิดปกติ

คุณแม่ยังคงต้องเข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะบ่อยๆ (คุณแม่จะปัสสาวะถี่ขึ้นอีกครั้งเมื่อถึงไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ เนื่องจากขนาดของมดลูกที่โตขึ้นจะทำให้ไปกดกระเพาะปัสสาวะ)

คุณแม่อาจวิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน อาการอ่อนเพลีย กังวล หรือแม้แต่ความหิวก็อาจเป็นสาเหตุ หากคุณแม่มีอาการปวดศีรษะรุนแรงแบบไมเกรน ควรปรึกษาแพทย์ อย่าใช้ยาเองโดยเฉพาะแอสไพริน

คุณแม่อาจจะรู้สึกคัดจมูกและมีน้ำมูก เหมือนกับเป็นภูมิแพ้นอกฤดูกาล

คุณแม่จะรู้สึกหิวมากขึ้น และค้นหาของกินอยู่ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน

วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ทิพย์ตั้งครรภ์ สัปดาห์ที่ 18 แล้วครับ

    สัปดาห์ที่ 18 ของการตั้งครรภ์ จากการสังเกตอาการของว่าที่คุณแม่ของลูก อาการแพ้ท้องน่าจะหายแล้วครับ ช่วงนี้เป็นอาการอยากรับประทานครับ ( ดีใจที่เธอเริ่มทานได้ ) เมื่อวานกลับจากวังน้อยมาสวนสยาม เดินผ่านร้านอาหารอีสาน ว่าที่คุณแม่อยากกินลาบเป็ด  สั่งซื้อร้านตรงข้าม รพ.นพรัตน์ ให้ด้วยสำเนียงภาษาทางบ้านผมเอง กะว่าอยากได้แบบต้นตำรับ  ระหว่างนั่งรอลาบเป็ดสังเกตท้องว่าที่คุณแม่สัปดาห์นี้เริ่มโตขึ้นเยอะครับ  อาจเป็นสาเหตุที่ว่าที่คุณแม่เริ่มทานได้เพราะลูกโตขึ้นทุกวัน อาหารมือเย็นเมื่อวานผมพยายามออกแบบให้ครบตามหลัก 5 หมู่ แบบไทย ๆ  ประกอบไปด้วย
            - น้ำพริกแมงดา  + ผักสด แตงกวา  มะเขือ
             -แกงเห็ดรวม 3 อย่าง เห็ดนางฟ้า  เห็ดฟาง  เห็ดหูหนู
            - หอยแครงลวก 
            - ผัดเผ็ด หมูสะตอ อาหารใต้
            - ลาบเป็ด
            - ข้าวสวย  ดูกับข้าวแล้วน่าจะเป็นข้าวเหนียวนะ
เมื่อวานว่าที่คุณแม่ของลูก อิ่มแปล้ครับ .....กินได้อย่างนี้ค่อยใจชื้นหน่อยนะ

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันแรกของสัปดาห์งานยุ่งนะ .... และเป็นวันแรกที่ทิพย์เริ่มตั้งครรภ์เข้าสู่เดือนที่ 5

          เมื่อวันที่ 3  ก.ค. 53  ผมได้พาทิพย์ไปตรวจการตั้งครรภ์ที่ รพ.นวมินทร์ เราสองคนมองเห็นลูกผ่านจออัลต้าซาวว์  มองเห็นหัวใจชัดเจน เห็นเป็นรูปร่างที่ชัดเจน แล้วเราสองคนก็ถามถึงเพศทารก คุณหมอยังไม่สามารถฟันธง ได้ครับ บอกว่าต้องประมาณ 20 สัปดาห์ครึ่งทางสำหรับการตั้งครรภ์ถึงจุทราบเพศของทารก  สำหรับเพื่อน Leonics  พี่ปาน  อ้อม พี่เมต  และน้องเปิล ระหว่างนี้ยังทายผลได้ครับ  หมอนัดอีกครั้ง  31  กรกฎาคม  2553  ครับ   ขอบคุณอ้อมส่งรูปเด็กน่ารัก ๆ มาให้  ทิพย์เขาชอบดูครับ

         สำหรับการปฏิบัติตัวของว่าที่คุณแม่ การตั้งครรภ์เข้าสู่ เดือนที่ 5  ตามตำราต้องปฎิบัติตัวดังนี้ครับ
คุณแม่อาจรู้สึกเจ็บแปลบที่บริเวณท้องด้านล่าง เป็นอาการที่ปกติเนื่องจากเมื่อมดลูกขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วกล้ามเนื้อที่ยึดมดลูกเอาไว้ก็จะต้องรับน้ำหนักมากขึ้น และถูกดึงรั้งมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเมื่อคุณแม่หมุนตัวหรือเคลื่อนไหวเร็วๆ กล้ามเนื้อที่ตึงอยู่นี้ก็จะถูกดึงให้ยืดออกอีกโดยเร็วทำให้รู้สึกเจ็บแปลบๆได้ หากคุณแม่รู้สึกเจ็บพยายามงอตัวไปด้านที่รู้สึกเจ็บก็จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น


อาการปวดหลังเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น อาจเกิดจากน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นที่บริเวณท้อง ทำให้กล้ามเนื้อต้องรับน้ำหนักมากขึ้น หรือท่าเดิน ยืน นั่ง ที่ไม่ถูกต้อง หรืออาจเกิดจากการที่กระดูกสันหลังส่วนล่างโก่งงอออกเพื่อรองรับการขยายตัวของมดลูก กระดูกสันหลังจะบิดตัวเองซึ่งเป็นสาเหตุให้คุณแม่รู้สึกปวดหลังได้

เล็บมือและเล็บเท้าของคุณแม่จะอ่อนและเปราะมากขึ้น เนื่องมาจากการเพิ่มมากขึ้นของฮอร์โมน ดังนั้นในระหว่างการตั้งครรภ์คุณแม่จำเป็นที่จะต้องมีการดูแลเล็บให้ดีกว่าปกติ

เส้นผมของคุณแม่ก็จะมีความมันมากยิ่งขึ้น บางทีคุณแม่อาจรู้สึกได้ว่าผมหนามากขึ้นแต่ไม่ได้เป็นเพราะมีการผลิตเส้นผมใหม่มากขึ้น สาเหตุเพราะว่าฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงทำให้ผมร่วงน้อยลง คุณจึงจำเป็นต้องดูแลเส้นผมให้มากขึ้น ต้องสระผมให้บ่อยขึ้น เวลาใช้ครีมนวดผม conditioner หรือ treatment ต่างๆ ควรใส่เฉพาะบริเวณปลายผมเท่านั้น

ผิวหนังของคุณแม่ก็จะผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นด้วยเช่นกัน ผิวหน้าจะมันมากขึ้น เกิดจากการที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนมากขึ้นนั่นเอง การที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงจะไปกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดฝ้าขึ้นได้ ในผู้หญิงที่มีสีผิวเข้มอยู่แล้วจะพบเป็นรอยจางๆ แต่หากมีผิวสีขาวก็จะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น แต่มันก็จะจางหายไปหลังจากการคลอด ดังนั้น อย่าไปกังวลกับมันมากนัก เวลาออกนอกบ้านเพียงแต่ใช้ครีมกันแดด และกางร่มก็จะช่วยให้เกิดฝ้าน้อยลง เพราะแสงแดดก็จะเป็นสิ่งที่ไปกระตุ้นการผลิตเม็ดสีให้เพิ่มมากขึ้นได้ด้วยเช่นกัน

เมื่อทารกมีการเคลื่อนไหวคุณแม่ก็มักจะรู้สึกได้ แต่บางครั้งที่กำลังยุ่งอาจไม่ทันได้สังเกตการเคลื่อนไหวที่เบาๆนั้น แต่เมื่ออายุครรภ์ได้ 24 – 32 สัปดาห์ การเคลื่อนไหวของทารกมักจะชัดเจน แพทย์จะแนะนำให้คุณแม่นับจำนวนครั้งที่ทารกมีการเคลื่อนไหวในแต่ละวัน คุณแม่อาจจะนับได้มากกว่าสิบครั้งต่อวันก็ถือว่าใช้ได้แล้ว หากคุณสังเกตว่าทารกดิ้นน้อยลงมาก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจอัลตร้าซาวด์เพื่อให้เห็นว่าทารกมีการเคลื่อนไหวดีเป็นปกติ

คุณแม่บางท่านอาจพบกับปัญหาของการนอนไม่หลับ ซึ่งอาจทำให้หงุดหงิด การนอนไม่หลับเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆระหว่างการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุและมีวิธีการแก้ไขที่แตกต่างกันไป

วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เช้าวันนี้ คุณหมอนัดทิพย์ตรวจครรภ์ ครั้งที่ 4

        นับถึงวันนี้ อายุครรภ์ของว่าที่คุณแม่คนใหม่ของผม ครบ 4 เดือนพอดี หมอนัดตรวจเมื่อเช้านี้เอง 8.00-9.00 น. ( 3 ก.ค. 53 ) วันนี้ว่าที่คุณแม่ของลูกผม สดใส ตื่นนอนแต่เช้าก่อน พลขับ อาบน้ำแต่งตัวเตรียมพร้อมไปพบคุณหมอ อาการแพ้ท้องหายเป็นปลิดทิ้งครับ ไม่มีอาการเหมือนช่วง เดือนที่ 1 , 2 และ 3  เราไปถึง  รพ.นวมินทร์ก่อน แปดโมงเช้า รอที่โถงก่อนขึ้นไปแผนกสูตินารีเวช ตอน8.00 น. วันนี้มีว่าที่คุณแม่หลายคน มารอ แต่ละคนท้องโตกันทั้งนั้นครับ  ทำให้เมียผมต้องนอยส์ นิดหนึ่ง เพราะท้องไม่ค่อยโตเท่าไหร่ ตอนพบหมอ หมอก็ไม่ได้ทักอะไรที่ผิดปกติ  ในเรื่องของน้ำหนักของคุณแม่หมอแนะนำให้ทำน้ำหนักสัปดาห์ละ ครึ่ง กิโล หลังจาก 4 เดือนไป และหมอได้แนะนำเรื่องดื่มนม หมอแนะนำให้ดื่มนมจืด ถ้าทานนมหวาน นน.คุณแม่จะเพิ่มขึ้นเยอะมาก  อาจเป็นเพราะสาเหตุนี้ก็ได้ที่ นน.ทิพย์ไม่เพิ่มขึ้นเพราะเราให้เขาทานนมจืด มาตั้งแต่ก่อนตั้งครรภ์และทานมาเรื่อย  น้ำหนักเธอเลยไม่เพิ่มขึ้นมาก แต่ลูกได้รับสารอาหารครบถ้วนแน่นอน ครับ ไม่ให้เสียชื่อว่าที่คุณพ่อและคุณแม่ ที่ร่ำเรียนมาทาง สาธารณสุขศาสตร์ ทั้งสองคน