วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ชีวิตนี้ผ่านจุดคุ้มทุนแล้วหรือยัง

ชีวิตนี้ผ่านจุดคุ้มทุนแล้วหรือยัง
กว่าคนหนึ่งคนเติบโตและมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้นั้น โลกนี้ต้องลงทุนกับชีวิตคนแต่ละคนสูงมาก เช่น
• พ่อแม่ลงทุนประคบประหงมเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่และติดตามดูแลไปตลอดชีวิต

• ญาติพี่น้องลงทุนสร้างความสัมพันธ์ให้ความอบอุ่นให้โอกาสได้เป็นญาติพี่น้องกัน คอยช่วยเหลือเจือจุนกัน

• ครูบาอาจารย์ลงทุนทั้งกายและสติปัญญาในการอบรมสั่งสอนให้คนมีวิชาความรู้ติดตัว

• หัวหน้าในที่ทำงานลงทุนลงแรงในการให้ความรู้ สั่งสอน สนับสนุน ส่งเสริม คอยตักเตือนเพื่อให้คนมีอนาคตในการทำงานที่ดี

• เพื่อนร่วมงานลงทุนเอาชีวิตมาเสี่ยงกับชีวิตเรา ลงทุนจิตใจมารองรับอารมณ์ของเรา

• คู่สมรสลงทุนทุ่มเทชีวิตทั้งชีวิตมาผูกติดกับชีวิตเราแบบหมดตัวหมดใจ

• ลูกลงทุนมาสร้างความรักความผูกพันให้กับพ่อแม่ ลงทุนมาเป็นความหวังความภูมิใจให้กับพ่อแม่

• สัตว์และพืชลงทุนสละชีพเพื่อเป็นอาหารให้กับคนเราได้ดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ต่อไป

• ศาสนาได้ลงทุนเผยแพร่คำสั่งสอนให้คนทุกคนเป็นคนดีโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ
แล้วคนเราเคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่าทุกวันนี้เราได้ดำเนินชีวิตโดยการชดใช้ทุนจากแหล่งต่างๆบ้างหรือยัง เราเคยให้ผลตอบแทนอะไรแก่แหล่งทุนในชีวิตของเราบ้างหรือยัง ถ้าใครอยากจะทราบว่าชีวิตของเราผ่านจุดคุ้มทุนมาแล้วหรือยัง ลองประเมินชีวิตตัวเองจากหัวข้อดังต่อไปนี้

• พ่อแม่
• เราเคยทดแทนบุญคุณพ่อแม่บ้างหรือยัง เช่น บวชแทนคุณ เลี้ยงดูท่าน ทำให้ท่านภูมิใจ ดูแลท่านเมื่อยามเจ็บป่วย พาท่านไปเที่ยวทำบุญ

• คู่สมรส
• เราเคยให้อะไรกับคนที่เรารักและรักเราบ้างหรือยัง เช่น ให้เวลา ให้ความรู้สึกที่ดีต่อกัน ให้ทรัพย์สินเงินทอง ให้เกียรติ ให้ความรักความเข้าใจแบบที่เขาเป็น ให้เขาได้มีความสุขจากความประพฤติดีของเรา

• ญาติพี่น้อง
• เราเคยให้อะไรตอบแทนแก่ญาติพี่น้องของเราบ้างหรือยัง เช่น ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูล ให้โอกาส เขาไปคุยโม้โอ้อวดจากความภาคภูมิใจที่เขาเห็นเราประสบความสำเร็จ

• ครูบาอาจารย์และสถาบันการศึกษา
• เราเคยให้อะไรตอบแทนกลับไปยังผู้ให้ความรู้เราบ้างหรือยัง เช่น ให้ชื่อเสียงแก่สถาบันจากความสำเร็จของเรา ให้ความช่วยเหลือแก่รุ่นน้องๆ ทั้งเรื่องการถ่ายทอดวิชาความรู้ประสบการณ์หรือการช่วยเหลือในด้านเงินทองแก่รุ่นน้อง

• เพื่อนร่วมงาน
• เพื่อนร่วมงานหมายรวมถึงตั้งแต่หัวหน้า เพื่อน และลูกน้อง เราสามารถให้ความหวังกับหัวหน้าได้โดยการทำงานดี ทุ่มเททำงาน สร้างความภูมิใจให้หัวหน้าเมื่อเขาเห็นเราประสบความสำเร็จ อย่างน้อยอดีตหัวหน้าเราจะได้บอกใครต่อใครได้ว่าเราเคยเป็นลูกน้องเขามาก่อน เราสามารถตอบแทนเพื่อนร่วมงานและลูกน้องได้โดยการให้เกียรติ ช่วยเหลือ สนับสนุน ส่งเสริมให้เพื่อนร่วมงานและลูกน้องทำงานให้ประสบความสำเร็จ

• สังคม
• ลองถามตัวเองดูว่าเราเกิดมาทั้งทีมีแต่การเป็นผู้รับสิ่งต่างๆจากสังคมมามากมาย เราเคยตอบแทนสังคมโดยการช่วยเหลือคนยากจน ทำบุญ ทำทาน ช่วยเหลือคนพิการ คนด้อยโอกาสในสังคมบ้างหรือยัง เราเคยนำเอาสิ่งที่เรามีอยู่ เช่น ความรู้ เวลา ทรัพย์สินเงินทอง แบ่งปันให้คนอื่นในสังคมบ้างหรือยัง มากน้อยเพียงใด คุ้มค่ากับสิ่งที่เราได้รับมาจากสังคมแล้วหรือยัง เช่น คิดง่ายๆว่าถ้าเราเคยได้รับการช่วยเหลือจากคนอื่นตอนที่รถเราเสียกลางทาง แล้วเราได้มีโอกาสช่วยเหลือคนที่เขารถเสียเหมือนเราบ้างหรือยัง ถ้าเราเคยได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมสังคมตอนที่เราเจ็บป่วย แล้วเราเคยช่วยเหลือคนป่วยที่ไม่ใช่ญาติเราบ้างหรือยัง


สรุป
คนเราเกิดมาพร้อมกับหนี้ยิ่งมีชีวิตยืนยาว ก้าวหน้ามากเพียงใด เรายิ่งเป็นหนี้คนรอบข้างและสิ่งต่างๆในโลกนี้มากขึ้นเท่านั้น เพราะความก้าวหน้าของเราย่อมต้องใช้ทุนจากแหล่งต่างๆมากมาย เช่น คนที่ยิ่งจบการศึกษาสูงๆก็ยิ่งเป็น หนี้พ่อแม่ครูบาอาจารย์มากขึ้น คนที่ร่ำรวยยิ่งเป็นหนี้คนทำงานหรือลูกค้า คู่ค้ามากยิ่งขึ้น ดังนั้น ขอให้คิดว่าเราเกิดมาเพื่อชดใช้หนี้ที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจก่อขึ้นให้ครบถ้วน จึงจะได้ชื่อว่า “ชีวิตนี้มีจุดคุ้มทุน” แต่ถ้าใครสามารถตอบแทนคนอื่นและสิ่งรอบข้างนี้ได้มากกว่าที่เราได้รับมาก็ได้ชื่อว่า “ชีวิตนี้มีกำไร” หวังเป็นอย่างยิ่งว่าถึงแม้เราไม่รู้ว่าจะตอบแทนบุญคุณใครอย่างไรจึงจะเรียกว่าคุ้มทุน ก็ให้คิดเพียงง่ายๆว่าเราเคยได้รับอะไรจากใครบ้าง แล้วเราได้เคยตอบแทนอะไรให้แก่คนเหล่านั้นคืนไปบ้างหรือยัง ถ้าตอบว่าเคยก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ฐานะไม่ดีสร้าง Enriched Environment ให้ลูกได้ไหม

Enriched Environment แปลว่าสิ่งแวดล้อมมีความสมบูรณ์ แต่เมื่อนำมาใช้กับพัฒนาการเด็ก จึงทำให้หมายถึงสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการพัฒนาที่สมบูรณ์ ซึ่งจะตรงข้ามกับคำว่า Poor Environment

ที่พ่อแม่เข้าใจผิดกันมากคือ Enriched Environment ต้องเต็มไปด้วยของเล่นและอุปกรณ์ไฮเทค ลูกจึงจะพัฒนาได้ดี ตรงข้ามกับสภาพที่ว่าอาจเป็น Poor Environment ก็เป็นได้ ถ้าความมีมากไม่ก่อให้เกิดการขบคิด การแก้ปัญหา การทดลองทำด้วยตัวเองของเด็ก ดังนั้น Enriched Environment หรือ Poor Environment จึงมีคุณสมบัติเชิงคุณภาพของสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อพัฒนาการของเด็กมากกว่าคุณสมบัติทางกายภาพ แม้แต่ความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูกถ้าดีเราก็ถือเป็น Enriched Environment แต่ถ้าไม่ดีเราก็ถือเป็น Poor Environment

สิ่งแวดล้อมแบบที่ถือเป็น Enriched Environment ได้แก่
สิ่งแวดล้อมที่เด็กรู้สึกอบอุ่นปลอดภัย ซึ่งสิ่งแวดล้อมแบบนี้หาซื้อไม่ได้หรอกครับ พ่อแม่ต้องสร้างขึ้น ความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวจะสร้างสิ่งนี้ขึ้นมา

สิ่งแวดล้อมที่เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น มนุษย์เรียนรู้จากผู้คน ก็แปลว่าเขาขาดประสบการณ์การเรียนรู้ที่สำคัญซึ่งทำให้ขาดคุณสมบัติที่สำคัญไปการที่ลูกของเราได้พูดคุยหยอกล้อกับเรา มีเพื่อนเล่นนั่นแหละ คือ Enriched Environment

สิ่งแวดล้อมที่ท้าทายให้เด็กอยากเรียนรู้ ความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมชาติของมนุษย์โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ แต่ผู้ใหญ่ก็ทำลายความอยากรู้อยากเห็นนั่นเสีย โดยการห้ามถาม ดุด่า ด้วยความรำคาญ อย่างนี้เรียกว่า Poor Environment แต่ถ้าเป็น Enriched Environmen เราต้องชวนเด็กหาคำตอบ พาเด็กไปหาประสบการณ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น

สิ่งแวดล้อมที่เด็กมีโอกาสได้เล่น การเล่นของเด็กคือการเรียนรู้มันเป็นเครื่องมือที่เด็กใช้เข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัว ผมเน้นคำว่ารอบตัวเพราะเราชอบเอาสิ่งไกลตัวมาให้ลูกเล่น เด็กก็สนุกครับแต่อาจยังไมได้เรียนรู้สิ่งรอบตัวทำให้ขาดความเข้าใจในชีวิต ไปหาสิ่งใกล้ตัวให้ลูกเล่น เพราะชีวิตเราล้วนรับอิทธิพลจากสิ่งรอบตัวทั้งนั้น ความเข้าใจและความรู้จากสิ่งรอบตัวจะเป็นรากฐานให้เด็กเข้าใจสิ่งที่อยู่ไกลตัว

สิ่งแวดล้อมที่ทำให้เด็กได้สัมผัสกับข้อมูลใหม่ๆ ผ่านการเล่าและอ่าน หรือกิจกรรมเล่านิทานอ่านหนังสือให้ฟังนั่นเอง

สิ่งแวดล้อมที่เด็กได้สัมผัสกับความงามหรือสุนทรียภาพ ไม่ว่าจะเป็นดนตรี ศิลปะรูปแบบต่างๆ เพราะมันคือรากฐานที่สำคัญทางจิตใจและความเป็นมนุษย์

สิ่งแวดล้อมที่มีแบบอย่างดีๆ ให้เด็กได้ซึมซับ เพราะหลายอย่างมนุษย์เรียนรู้จากการเลียนแบบ ผ่านการทำหน้าที่ของเซลล์กระจกเงา ถ้าแบบอย่างไม่ดี ลูกหลานของเราก็ไม่ดี ลูกหลานของเราก็จะแย่
คงจะเห็นนะครับ คนรวยหรือคนจนมีโอกาสสร้าง Enriched Environmen ให้ลูกได้เท่ากันอยู่ที่ความเข้าใจของพ่อแม่ หลายคนใช้เงินสร้างสิ่งแวดล้อมให้ลูกโดยคิดว่ามันเป็น Enriched Environmen แต่จริงๆ มันอาจเป็นคือ Poor Environment
นพ.อุดม เพชรสังหาร


ที่มา.. นิตยสาร MODERNMOM Vol.13 No.147 January 2008

วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พัฒนาการของเจ้าตัวน้อย วัย 6-8 เดือน

วัย 6-8 เดือน เป็นช่วงที่คุณอาจจะต้องเหนื่อยเพิ่มขึ้นกว่าเดือนก่อนๆ เพราะลูกเริ่มมีพัฒนาการมากขึ้นเจ้าตัวเล็กจะเริ่มคลาน ยืน และเดินเตาะแตะได้ในช่วงนี้ เพราะฉะนั้นโอกาสที่เกิดอุบัติเหตุก็มีมากขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของคุณพ่อคุณแม่และสมาชิกทุกคนในบ้านต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อความปลอดภัย นอกจากเรื่องของการเคลื่อนไหวแล้วลูกยังมีความสามารถในด้านอื่นๆ อีกหลายอย่างด้วยค่ะ


พัฒนาการด้านร่างกาย

ประโยชน์จากการที่เจ้าตัวเล็กได้ออกกำลังกาย ยืดเส้นยืดสายหลายเดือนที่ผ่านมา ทำให้วันนี้ลูกมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงขึ้นมากเขาสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของอวัยวะส่วนต่างๆ ได้ดีและมีพัฒนาในเรื่องการทรงตัวที่ดีขึ้นด้วย บางครั้งคุณอาจจะเห็นลูกกลิ้งตัวกลับไปมาได้อย่างคล่องแคล่ว สามารถพลิกคว่ำพลิกหงายได้ นั่งเองได้นานขึ้น และโน้มตัวไปข้างหน้าโดยที่หน้าไม่คะมำได้ด้วย แต่ลูกยังไม่สามารถเอี้ยวตัวไปมาซ้ายขวาได้ และอาจจะคะมำไปข้างหน้าเวลาที่เอื้อมมือไปหยิบของเล่นชิ้นโปรด

ในแต่ละวันที่ผ่านไป เจ้าตัวเล็กมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การนั่งได้เองไม่ใช่สิ่งที่น่าตื่นเต้นสำหรับลูกอีกต่อไป เพราะตอนนี้ลูกพยายามจะทำอย่างอื่นที่น่าสนใจกว่า วันดีคืนดีคุณอาจจะได้เห็นเจ้าตัวเล็กแสดงความสามารถด้วยการพยายามรั้งราวเปลเพื่อพยุงตัวให้ยืนขึ้น แต่หลังจากนั้นลูกก็จะล้มลงไปกองอยู่บนที่นอน หรืออาจจะยืนค้างอยู่อย่างนั้นแล้วร้องไห้ให้คุณช่วย เพราะเด็กในวัยนี้ยังไม่รู้จักการย่อตัวลงนั่งเอง คุณสามารถช่วยกระตุ้นพัฒนาการนี้ของลูกได้โดยการเข้ามาพยุงตัวลูกไว้ ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยแล้วค่อยๆ หย่อนตัวลูกให้นั่งลงเบาๆ สิ่งเหล่านี้เป็นแบบฝึกหัดที่ดีและเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่พัฒนาการการคลาน ยืน และเดิน ในเวลาต่อมาค่ะ


เริ่มคลานแล้วนะ
ลูกจะเริ่มสนใจการคลานในช่วงเดือนที่ 8 การที่เจ้าตัวเล็กคลานได้ดี เขาจะต้องมีกล้ามเนื้อแขนขาที่แข็งแรงมากพอที่จะดันตัวเองขึ้นมาอยู่ในท่าคลาน และไม่ช้าลูกจะเรียนรู้ว่าการใช้เข่าดันพื้นสามารถทำให้เขาเคลื่อนตัวไปข้างหน้าได้ เด็กส่วนใหญ่จะเริ่มด้วยการคลานถอยหลังก่อน แต่ไม่นานเขาก็เรียนรู้วิธีที่จะคลานไปข้างหน้าได้เอง ถ้าหากเจ้าตัวเล็กของคุณยังไม่มีทีท่าว่าจะคลานในเดือนนี้ก็ไม่ต้องกังวลนะคะ เพราะเด็กจะเริ่มคลานในช่วง 8-10 เดือน ขึ้นอยู่กับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กแต่ละคน เด็กบางคนอาจจะไม่คลานเลย แต่จะใช้วิธีไถก้นไปกับพื้นแทน แล้วก็ข้ามไปสู่การเดินเลยก็มีค่ะ

ตื่นตาตื่นใจกับของเล่น
เมื่อลูกนั่งได้เองโดยไม่ต้องใช้มือทั้งสองข้างยันพื้นเพื่อช่วยพยุงตัว ทำให้เขามีโอกาสใช้มือในการคว้าของเล่นชิ้นโปรดมาถือไว้ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมพัฒนาการหลายด้าน เช่น พัฒนาการการทำงานประสานกันระหว่างมือและตา การเรียนรู้เรื่องผิวสัมผัส และพัฒนาการของกล้ามเนื้อมือ เป็นต้น ฉะนั้นคุณควรหาของเล่นสีสันสดใสมาวางไว้รอบๆ ตัวลูก เพื่อกระตุ้นให้เขาได้ใช้มือหยิบจับสัมผัสของเล่นเหล่านั้น แต่ก็อย่าคาดหวังว่าเจ้าตัวเล็กจะสนใจของเล่นรอบตัวได้นานนะคะ เพราะบางครั้งลูกก็ให้ความสนใจเพียงประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็หันไปเล่นอย่างอื่นต่อ

มือ-ตา ประสานกันได้ดี
อย่างที่บอกแล้วว่าเด็กในวัยนี้จะมีพัฒนาการการทำงานประสานกันระหว่างมือและตาลูกจึงชอบหยิบจับสิ่งของมากำไว้ทดลองหยิบใส่ปาก เปลี่ยนไปถือไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง หรือแม้แต่การใช้มือสองข้างหยิบของเล่นสองชิ้นมาปะทะกันได้ช้อนก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ลูกชอบคว้ามาเข้าปากทันทีที่เห็น แต่ยังไม่ทันได้เข้าปากก็ทำหล่นเสียก่อน แต่ลูกจะทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถหยิบช้อนเข้าปากได้ในที่สุด ถ้าคุณยื่นแก้วน้ำที่มี 2 หูให้ลูกดื่ม เจ้าตัวเล็กจะพยายามถือแก้วเองแรกๆ คุณต้องช่วยลูกประคองแก้วไว้ แต่ในไม่ช้าเขาจะสามารถหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มได้เอง ลูกวัยนี้สามารถทานอาหารอื่นนอกจากนมได้แล้วการลองให้ลูกใช้มือหยิบขนมปังกรอบเข้าปากเองก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการด้านนี้ของลูกได้ แต่ก็ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิดนะคะ เพราะลูกจะสำลักอาหารได้ค่ะ

ทักษะการเรียนรู้ของเจ้าหนูวัยซน
ลูกน้อยของคุณเริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของสิ่งต่างๆ ก่อนหน้านี้เวลาที่ลูกมองหาคุณไม่เจอหรือไม่เห็นของเล่นชิ้นโปรด เขาก็จะคิดว่าทุกอย่างหายไปแล้วอย่างถาวรแต่ตอนนี้ลูกเริ่มรู้แล้วว่าการที่เขาไม่เห็นคุณ หรือของเล่นชิ้นนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งเหล่านั้นจะหายไปจากโลกนี้วิธีที่คุณจะช่วยสอนให้ลูกเรียนรู้เรื่องการมีอยู่ของสิ่งของก็คือให้คุณหยิบของเล่นสักชิ้นหนึ่งไปซ่อนไว้ใต้ผ้าห่ม แต่ให้บางส่วนโผล่พ้นออกมา เจ้าตัวเล็กก็จะพยายามไปดึงผ้าออกเพื่อหาของเล่น เมื่อลูกเริ่มเข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้น ต่อไปเวลาที่คุณหยิบของเล่นไปซ่อนไว้ใต้ผ้าจนมิดชิด ลูกก็จะพยายามมองหาเพราะรู้ว่าของเล่นไม่ได้หายไปไหน แต่ซ่อนอยู่ใต้ผ้านั่นเอง

ภาษาท่าทางของหนู
เจ้าตัวน้อยมีพัฒนาการด้านภาษาเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมามาก ถึงแม้ว่าจะยังพูดไม่ได้แต่ลูกสามารถจดจำชื่อตัวเองได้ เขาจะหันไปหาคุณทันทีที่ได้ยินคุณเรียก นอกจากนี้ลูกยังมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อชื่อของสมาชิกในบ้านและชื่อสิ่งของที่เขาคุ้นเคยด้วย เช่น เวลาที่คุณพูดถึงของเล่นชิ้นโปรดหรือเอ่ยชื่อสมาชิกในบ้านให้ได้ยิน เจ้าตัวเล็กจะหันไปมองสิ่งที่คุณกำลังพูดถึงทันที

นอกจากจดจำชื่อคนและสิ่งของได้แล้ว เจ้าตัวเล็กยังเรียนรู้ที่จะแสดงท่าทางต่างๆ เพื่อบอกให้คนรู้ถึงอารมณ์และความต้องการขอเขาด้วย เช่น เวลาที่ลูกอยากได้ของเล่นหรือขนม เขาก็จะยกมือขึ้นมากำๆ แบๆ จนกว่าจะได้ของที่ต้องการ ลูกจะส่ายศรีษะหรือหันหน้าหนีจากสิ่งที่ไม่ชอบหรือผลักคุณออกไปเวลาที่คุณทำให้เขาไม่พอใจ เวลาที่คุณบอกให้ บ๊าย บาย ลูกก็จะโบกไม้โบกมือไปมา นอกจากแสดงออกด้วยท่าทางแล้วลูกยังแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้าด้วย ลองสังเกตให้ดีแล้วคุณจะทราบว่าอารมณ์ของเจ้าตัวดีตอนนี้เป็นอย่างไร

เสียงมาจากไหน ?
ในช่วงเดือนที่แปด ความสามารถในการฟังของลูกมีพัฒนาการเพิ่มขึ้นอีกขั้น เส้นประสาทที่เชื่อมต่อจากหูไปถึงสมอง ทำไมลูกเริ่มเรียนรู้ที่จะมองหาที่มาของเสียง และเขายังรู้จักเปรียบเทียบความแตกต่างของเสียงได้ด้วย เช่น เปรียบเทียบเสียงตัวเองกับเสียงของคุณ และอีกสองสามเดือนข้างหน้า เจ้าตัวเล็กก็จะเรียนรู้ที่จะเลียนเสียงคุณด้วย

ค้นพบแหล่งเรียนรู้ใหม่
หลังจากที่ลูกสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวเองและสามารถคืบคลานไปหาสิ่งที่เขาต้องการได้ เจ้าตัวเล็กก็จะตื่นเต้นกับการค้นพบสิ่งใหม่ๆ มากขึ้นทุกวัน เขากระตือรือร้นและมีพลังงานเหลือเฟือสิ่งที่จะรื้อค้นข้าวของจากตู้เสื้อผ้า ตู้โชว์ ลิ้นชักโต๊ะ หรือแม้แต่ตะกร้าผ้า เพื่อจะได้รู้ว่าสิ่งของที่อยู่ในนั้นนิ่มหรือแข็ง ผิวเรียบหรือหยาบ มีเหลี่ยมมุมมากน้อยแค่ไหน รสชาติเป็นอย่างไร และเขาจะทำอย่างไรกับของชิ้นนั้นได้บ้าง แม้สิ่งของต่างๆ ที่พบเห็นจะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของลูกได้ แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็ควรระมัดระวัง ไม่เก็บของมีคมหรือของที่เป็นอันตรายอย่างผงซักฟอกและน้ำยาล้างห้องน้ำไว้ในที่ๆ ลูกเอื้อมถึงเพราะถ้าคุณเผลอ ลูกอาจจะหยิบมาเล่นและเกิดอันตรายได้ค่ะ

พัฒนาการด้านอารมณ์

เด็กในวัยนี้จะเริ่มให้ความสนใจสิ่งรอบตัวมากขึ้น เริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างมากขึ้น เวลาได้ยินเสียงอะไร เขาจะหันไปทางนั้นแล้วนั่งฟังอย่างตั้งใจ เวลาที่สมาชิกในบ้านพูดคุยกัน เจ้าตัวเล็กก็จะสร้างความกระตือรือร้นอยากเข้าไปร่วมวงด้วย เวลาที่เขานั่งมองตัวเองในกระจกอย่างสนอกสนใจ ลูกไม่รู้หรอกค่ะว่านั่นคือตัวเขา แต่คิดว่าเป็นเพื่อนเล่น บางทีคุณอาจจะได้ยินเจ้าตัวเล็กส่งเสียงอ้อแอ้กับตัวเองในกระจก เพราะลูกอยากให้เด็กที่เห็นในกระจกคุยโต้ตอบด้วย


หนูรักคุณแม่ที่สุด
คุณยังครองความเป็นคนโปรดของลูก ยังเป็นคนที่ลูกอยากเล่น อยากพูดคุยด้วยและอยากได้รับความเอาใจใส่จากคุณ เวลาที่ลูกโยนมันลงไปอีกแล้วมองหาคุณ เพราะเขารู้ว่าการทำแบบนี้สามารถเรียกร้องความสนใจจากคุณได้ ลูกจึงทำให้คุณเดินมาหา จะได้เล่นได้คุยกับคุณ ความรักความผูกพันที่เจ้าตัวเล็กมีจากคุณนั้นค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ลองแอบสังเกตดูสิคะ เวลาที่คุณเดินหายไป เจ้าตัวเล็กจะเริ่มเบะปากร้องไห้ เพราะลูกกลัวว่าคุณจะหายไปแล้วไม่กลับมาอีก และถ้าคุณเดินมาให้เห็น เจ้าตัวเล็กก็จะแสดงท่าทางตื่นเต้นดีใจและยิ้มร่าอย่างมีความสุข

ติดแม่…แกะไม่ปล่อย
สาเหตุที่ทำให้ลูกติดคุณแจเป็นเพราะเขาเริ่มเรียนรู้แล้วว่า “เราไม่ได้ตัวติดกัน” ซึ่งถือเป็นพัฒนาการการเรียนรู้อีกอย่างหนึ่งของเด็กวัยนี้ ลูกจะมีความกังวลทุกครั้งเวลาที่ไม่เห็นคุณ แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม ความกังวลใจของลูกอาจจะกลายเป็นความหงุดหงิดได้ แต่ก็เป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กวัยนี้ เจ้าตัวเล็กจะมีอาการติดแม่แจและมีความกังวลในการแยกจากแบบนี้ไปจนถึงวัยเตาะแตะ สิ่งที่คุณทำได้ก็คือพยายามให้ความรักความเอาใจใส่กับลูกให้มากพอ แล้วลูกจะเริ่มเข้าใจได้ในที่สุดว่าคุณไม่ได้ทิ้งเขาไป ไม่ช้าคุณก็จะกลับมาหาเขาเหมือนเดิมค่ะ

นอกจากติดคุณแม่แล้ว เด็กบางคนจะเริ่มติดสมาชิกในบ้านที่เขาสนิทสนมคุ้นเคยอย่างคุณย่า คุณยาย พี่น้อง หรือพี่เลี้ยงที่ดูแลเขา ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะจะช่วยให้ลูกเลิกเกาะคุณแจไปได้พักหนึ่งเวลาที่เขาต้องการความสนใจจากสมาชิกคนอื่นในบ้าน

คนแปลกหน้า…น่ากลัวจัง
เมื่อลูกเริ่มจำหน้าคนใกล้ชิดได้สิ่งที่ตามมาก็คือเขาจะเริ่มหวาดกลัวคนแปลกหน้าเวลาที่เจอคนแปลกหน้า เจ้าตัวเล็กจะหันหน้าหนีหรือหันไปซบไหล่คุณแล้วกอดคุณเอาไว้แน่นเหมือนกลัวว่าคุณจะหายไปแล้วปล่อยเขาไว้กับคนแปลกหน้า บางคนถึงกับร้องไห้ด้วยความกลัวก็มี อาการแบบนี้เป็นเรื่องปกติสำหรับเจ้าตัวเล็กวัยนี้อาการหวาดกลัวและหวาดกลัวเวลาที่ต้องพบเจอคนแปลกหน้าจะเกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานไปจนถึงอายุประมาณ 2 ขวบ วิธีที่จะช่วยลดความกลัวของเจ้าตัวเล็กก็คืออย่าพยายามฝืนให้ลูกพูดคุยกับคนที่เขากลัว และไม่ควรดุหรือตำหนิว่าเป็นเด็กขี้ขลาด เพราะมันจะเป็นการบ่อนทำลายความมั่นใจของลูก ซึ่งจะส่งผลเสียในระยะยาว แต่เมื่อลูกเริ่มมีความกล้าที่จะส่งยิ้มให้กับคนที่ไม่คุ้นเคย คุณควรจะชมเชยให้เขามั่นใจ และควรจะบอกกับคนแปลกหน้าที่เข้ามาเล่นมาคุยกับเจ้าตัวเล็กด้วยว่าควรจะพูดคุยกับลูกของคุณอย่างสุภาพและอ่อนโยนซึ่งจะช่วยให้ลูกคลายความกังวลลงได้ค่ะ


แต่ละวันที่ผ่านไปมีสิ่งใหม่ๆ ให้คุณได้ค้นพบทุกวัน ยิ่งโตขึ้นมากเท่าไหร่ อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดของเขาก็ซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น คุณจึงควรทำความเข้าใจและคอยติดตามพัฒนาการของลูกในแต่ละช่วงวัยอย่างใกล้ชิด จะไดรู้ว่าช่วงไหนเวลาใดคุณควรจะส่งเสริมหรือช่วยเหลือลูกในด้านไหน การช่วยส่งเสริมและสนับสนุนอย่างถูกต้องจะช่วยให้ลูกมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ขึ้นค่ะ

[ ที่มา.. นิตยสารบันทึกคุณแม่ No.153 April 2006]

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ลูกเริ่มเคลื่อนที่เอง

คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ที่เหน็ดเหนื่อยกับการเลี้ยงลูกเองบางคน อาจเคยคิดว่าเมื่อไหร่ลูกจะโตซักทีน้อ อยากให้ลูกโตเร็วๆ จัง ส่วนคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกโตแล้วหรือมีลูกหลายคน อาจมองย้อนกลับไปและรู้สึกว่าทำไมลูกโตเร็วจัง อยากย้อนเวลากลับไปให้ลูกเป็นเด็กน้อยน่ารักไร้เดียงสาเหมือนตอนเล็กๆ อีกครั้งจัง แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ที่เลี้ยงลูกเองต้องได้พบเจอแน่ๆ คือ ช่วงเวลาประทับใจที่จะทำให้แม่บางคนกรี๊ดออกมาดังๆ หรือตื้นตันจนต่อมน้ำตาแตกเมื่อเจ้าตัวน้อยของคุณเริ่มพูด หรือเริ่มกระดึ้บ (เคลื่อนที่) ได้เองเป็นครั้งแรก

เด็กทารกจะมีพัฒนาการแบบที่ค่อยเป็นค่อยไปและมีลำดับเหตุการณ์ เช่น เด็กจะเรียนรู้การชูคอ การพลิกตัว ก่อนจะไปสู่การคืบ การคลาน การนั่งและการลุกขึ้นยืนในที่สุด ซึ่งทั้งหมดนี้จะใช้เวลาตลอดขวบปีแรกของชีวิตเลยทีเดียว อาจฟังดูยาวนานเมื่อเปรียบเทียบกับลูกสัตว์บางชนิดที่สามารถเดินได้เองตั้งแต่คลอดในวันแรก แต่นั่นเป็นเพราะระบบวงจรชีวิตที่แตกต่างกัน ต้องขอบคุณความหลากหลายทางชีวภาพที่ทำให้โลกนี้น่าสนใจ มีความหลากหลายแต่สามารถอยู่ร่วมกันได้ และก่อนที่จะนอกเรื่องไปไกลกว่านี้ เรามาดูพัฒนาการด้านร่างกายของเจ้าตัวน้อยกันไปทีละขั้นตอนเลยดีกว่าครับ



เริ่มขยับและเรียนรู้

ในตอนแรกคลอด ทารกน้อยก็สามารถขยับคอให้หันไปทางซ้ายหรือทางขวาตามที่เราจับวางลงบนที่นอน และสิ่งแรกๆ เลยที่ทารกน้อยของเราเรียนรู้ที่ขยับเขยื้อนคือ ปากที่จะใช้ดูดนมคุณแม่นั่นเอง นอกจากนั้นยังรู้จักกำและแบมือ ด้วยท่าทีที่อาจดูเงอะงะทั้งแม่และลูกในการให้นมครั้งแรก แต่ในครั้งต่อๆ ไป ทั้งคู่ก็จะเริ่มค่อยๆ ทำความรู้จักและคุ้นเคยกัน ทำให้การให้นมง่ายขึ้นเรื่อยๆ ทารกน้อยของเราก็จะเริ่มมีพัฒนาการในการใช้มือมาจับ มาบีบหรือถูที่หน้าอกคุณแม่ในขณะที่ดูดนมไปด้วย เพื่อเป็นการสำรวจหรือเพื่อเป็นการกล่อมตัวเองไปในตัว แต่ก็ยังเคลื่อนไหวได้เพียงร่างกายส่วนบนเท่านั้น

ในช่วงเดือนแรกทารกจะเริ่มมองตามสิ่งที่เคลื่อนไหวในระยะใกล้ๆ ได้บ้างแล้ว แขนขาเริ่มขยับเองได้มากกว่าในตอนแรกคลอด แต่ยังไม่สัมพันธ์กัน และไม่ว่าจะรู้สึกอึดอัด เจ็บปวดหรือไม่สบายตัวสิ่งที่ทารกน้อยจะทำได้ก็เพียงแค่ร้อง ดิ้น หรือบิดไปเท่านั้นเอง พอครบสามเดือนทารกก็จะเริ่มชันคอ ผงกศรีษะ หันไปมาได้ บังคับกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น ถีบเท้าและเล่นกับนิ้วมือตนเองได้ แถมยังแสดงความสนใจนิ้วมือตัวเองเป็นพิเศษอีกต่างหาก แต่การขยับเคลื่อนไหวทางร่างกายที่จะนำไปสู่การเคลื่อนที่จริงๆ ก็คือเมื่อเจ้าหนูค้นพบว่า ในตอนที่เขาแตะส้วนเท้าลงแล้วถีบออกไปนั้น เป็นการดันส่งให้ตัวเองขยับเดินหน้าไปได้หน่อยนึง ถึงแม้จะเป็นเพียงชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ ในการค้นพบของเจ้าตัวน้อย แต่ก็จะนำไปสู่การเรียนรู้ใหม่ต่อไปอีก



เริ่มชันคอ-ลุกครึ่งตัวและก้นโด่ง

จำตอนที่ช่วงเดือนแรกที่เราลองวางทารกน้อยนอนคว่ำหน้าดูได้ได้ไหมครับ เจ้าหนูของเรายังขยับเขยื้อนด้วยตัวเองแทบไม่ได้เลย แต่ก็ยังพยายามที่จะยกหัว ชันคอและยกคางขึ้น ในทุกครั้งที่เราวางลูกคว่ำหน้าลง ทารกน้อยของเราพยายามลองของ ทั้งที่คอยังไม่แข็ง ประกอบกับศรีษะที่ใหญ่และหนัก ทำให้ความพยายามยังไม่บรรลุผล เพราะยังเกินความสามารถและเกินกำลังที่หนูจะทำได้ครับ

พอเข้าเดือนที่สองทารกก็จะเริ่มยกศรีษะขึ้นได้บ้างเองแล้วเมื่อนอคว่ำ แต่ก็ทำได้เพียงชั่วครู่สั้นๆ เท่านั้นเอง ก็จะหล่นตุ๊บกลับไปนอนอยู่ในท่าเดิมอย่างช่วยตัวเองไม่ค่อยได้อีกแล้ว (เริ่มก้าวหน้ามาอีกขึ้นหนึ่งแล้ว) และเมื่ออุ้มก็จะชันคอได้ดีกว่าแต่ก่อน ต่อมาในเดือนที่สามเมื่อคุณประคองตัวลูกขึ้นมาอยู่ในท่านั่งลูกจะชันคอได้ดีขึ้น แต่ก็ยังต้องคอยจับไว้ไม่ให้ล้ม และเมื่อวางนอนคว่ำหน้าทารกก็จะพยายามยกหัวและหน้าอกให้พ้นพื้นได้ช่วงสั้นๆ และถ้าเราจับนอนหงายเจ้าหนูก็จะเริ่มใช้มือปัดป่ายไปมา และเล่นนิ้วมือตัวเองอย่างสนใจ

พอเข้าเดือนที่สี่ทารกน้อยจะสามารถยกศรีษะและใช้แขนยันหน้าอกตัวเองขึ้นได้สบายมากแล้วล่ะ หลังจากนั้นเล็กน้อยเจ้าหนูก็จะลองพยายามทำกับขาดู และก็พอจะทำได้บ้างทีละน้อย ดูเหมือนว่าทารกน้อยของเรากำลังเตรียมการที่จะคลานแล้วหรืออย่างไรกันนี่ แต่ยังครับ...ยังไม่ใช่ในตอนนี้ เพราะทารกน้อยจะทำได้ทีละส่วน คือใช้หน้าอกดันพื้นเป็นการพยายามลุกขึ้นจากร่างกายท่อนบน กับใช้เท้ายันยกก้นขึ้น เป็นการพยายามยกร่างกายท่อนล่างเพื่อที่จะลุกขึ้น แต่ยังไม่สามารถทำพร้อมๆ กัน หรือหาจังหวะวิธีประสานให้ลงตัวเข้ากันได้ ดังนั้นอาจเป็นด้วยความผิดหวังทารกน้อยของเราจึงเริ่มหมุนตัวออกไปทางด้านข้างแทน และถึงตอนนี้เจ้าหนูของเราก็มีพัฒนาการขึ้นมาอีกหนึ่งขั้นแล้วล่ะค่ะนั่นก็คือเขาสามารถพลิกตัวไปมาได้

เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรต้องระวังเป็นพิเศษในช่วงนี้ เพราะทารกน้อยอาจพลิกตัวตกลงมาจากเตียงหรือที่วางเขาอยู่ก็ได้ เผลอไม่ได้เด็ดขาดเลยนะคุณพ่อคุณแม่




จากคืบสู่คลานและเดิน

เมื่อเจ้าตัวน้อยของเราได้ฝึกพลิกตัวคว่ำหงายได้คล่องขึ้นแล้ว ก็จะกลับมาสนใจการใช้มือยันหน้าอกเพื่อที่จะลุกขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่ทำยังไงน๊า ถึงจะลุกขึ้นทั้งตัวเหมือนคุณแม่หรือคุณพ่อได้... พอใช้มือดันจนลุกขึ้นมาได้ครึ่งตัวแล้ว จากนั้นใช้ขายันเพื่อที่จะลุก อ้าว! ล้มกลับลงมาอีกแล้ว เฮ้อ! ถ้าอย่างนั้นลองใช้ท้องดันดูสักหน่อยดีกว่า เอ๊ะ...มันขยับได้นิดนึงนี่นา ไหนลองใช้มือยันแล้วเท้าถีบไปด้วยดูซิ โอ้ย...มันยากมากเลย เพราะท้องและหัวเรามันหนักน่าดู ไม่เป็นไร ลองพยายามดูอีกดีกว่า

และเมื่อทารกน้อยของเราได้ลองพยายามดูหลายๆ ครั้ง เขาก็จะพบว่าตัวเองสามารถเริ่มเคลื่อนที่ได้เล็กน้อยแล้ว นั่นก็คือการคืบนั่นเองครับ และหลังจากนั้นไม่นานเจ้าหนูก็สามารถประสานจังหวะและเริ่มรู้เทคนิค ประกอบกับกล้ามเนื้อแขน-ขาที่แข็งแรงขึ้น ทำให้ทารกน้อยเรียนรู้ที่จะคลานในเวลาต่อมา โดยการยกท้องขึ้นและเดินด้วยแขน-ขาของตนเองได้แล้ว เขาจะรู้สึกภาคภูมิใจและรู้สึกถึงความสำเร็จของการเคลื่อนที่ได้ของตนเองเป็นอย่างมาก เพราะนั่นหมายถึง อิสรภาพอีกขึ้นหนึ่งแล้ว ทารกน้อยสามารถเคลื่อนที่หรือเดินทางไปในทิศทางที่ตนเองต้องการได้แล้ว

พอเข้าเดือนที่เจ็ด ทารกน้อยของเราก็จะสามารถนั่งเองได้อย่างมั่นคง โดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่คอยประคอง หรือกลัวว่าจะล้มอีกแล้ว ร่างกายหนูน้อยเริ่มแข็งแรงมากขึ้นแล้วในตอนนี้ และพอถึงเดือนที่แปดทารกน้อยของเรานอกจากจะนั่งเองได้ ก็สามารถคลานไปไหนมาไหนได้อย่างคล่องแคล่วไวมากขึ้นอีกด้วย และทารกน้อยของเราก็จะใช้วิธีการคลานไปไหนมาไหนเพื่อสำรวจ หรือเพื่อไปหยิบสิ่งของที่ต้องการแบบนี้ไปอีกหลายเดือน จนกว่าเขาจะค่อยๆ หาวิธียืดตัวลุกขึ้นมายืน ซึ่งในช่วงแรกแน่นอนว่าลูกน้อยยังต้องการความช่วยเหลือจากผู้ใหญ่ให้คอยประคอง จับลุกขึ้นยืนหรือยืนเกาะขอบเตียงอย่างไม่มั่นคงก่อนในตอนแรก แต่ในที่สุดทารกน้อยของเราก็จะสามารถค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเองได้ในที่สุด และการเดินก็จะเป็นสิ่งที่จะตามติดต่อมาในไม่ช้า ในช่วงเวลาประมาณที่เจ้าตัวน้อยมีอายุครบหนึ่งขวบปีพอดี แต่ถ้าลูกของคุณเดินได้ช้าหรือเร็วกว่านั้นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงครับ เพราะเด็กบางคนอาจใช้เวลามากกว่าเด็กบางคนบ้างเท่านั้นเอง




[ ที่มา.. นิตยสารบันทึกคุณแม่ Vol.17 Issue 193 August 2009 ]

วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554