วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554

แพรวากับของเล่นชิ้นใหม่ ...น้องกระต่าย


ภาพแรก อุ้ม อยู่ ภาพ สอง จะกินกระต่ายซะแล้วลูกสาวเรา พ่อรักหนู เป็นห่วงหนูนะครับ วันนี้ไม่ได้กลับนะ เจอกันพรุ่งนี้ตอนเย็น

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

อาหารเสริมสำหรับทารกควรเริ่มเมื่ออายุเท่าใดจึงจะเหมาะสม

อาหารเสริมสำหรับทารกควรเริ่มเมื่ออายุเท่าใดจึงจะเหมาะสม

เมื่อลูกคลอดจากครรภ์มารดา “นมแม่” เป็นอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารกแรกเกิด ซึ่งประกอบด้วยหัวน้ำนมหรือน้ำนมใส และตัวน้ำนม ซึ่งมีประโยชน์และจำเป็นทั้งสองส่วน คุณแม่ส่วนใหญ่กังวลว่าตัวเองจะมีน้ำนมในวันแรกหลังคลอด ก็ควรให้ทารกดูดนมไป่ก่อนเป้นการกระตุ้น และวันต่อๆ มาก็จะค่อยๆมีน้ำนมทีละน้อยเพิ่มขึ้นจนกระทั่งได้ 30-60 ซีซีต่อมื้อ (ใช้เวลา 10-15 นาที)
นมแม่นอกจากมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน ยังสร้างภูมิต้านทานให้ลูกน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งป้องกันเรื่องการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ไม่ทำให้ลูกท้องเสีย หรือท้องผูก และที่สำคัญที่สุดคือ เป็นสายสัมพันธ์เชื่อมความรัก ความอ่อนโยนระหว่างแม่กับลูก ดังนั้นในระหว่าง 3-4 เดือนแรกของชีวิตที่ลูกยังบอบบาง และกำลังปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมนอกครรภ์มารดา ลูกจึงควรได้รับแต่นมแม่ซึ่งธรรมชาติได้ปรุงแต่งให้สะอาด เหมาะสม มีคุณค่าและเพียงพอสำหรับลูกทุกคน ไม่มีความจำเป็นต้องได้รับอาหารเสริมอื่นแต่อย่างใดในช่วงนี้
ถึงแม้ว่าน้ำนมแม่ยังมีมากสำหรับลูกไปจนถึงอายุ 4-6 เดือน แต่หลังจากนั้นปริมาณของน้ำนมจะไม่เพียงพอกับการเจริญเติบโตในขวบปีแรก ซึ่งการเจริญเติบโตจะเร็วมาก โดยปกติแล้วในเดือนแรกน้ำหนักตัวของทารกจะเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม และจะเป็น 2 เท่าของน้ำหนักแรกเกิดเมื่ออายุครบ 5-6 เดือน จะเป็น 3 เท่าเมื่ออายุครบ 1 ปี แต่ถ้าเดือนแรกน้ำหนักของลูกเพิ่มขึ้นไม่ดี ประกอบกับสุขภาพของแม่ไม่แข็งแรงนัก ทำให้มีน้ำนมน้อย ก็สามารถให้นมผสมแก่ลูกเพื่อเสริมนมแม่ได้ แต่ต้องไม่หยุดให้นมแม่ทีเดียว
นมแม่อย่างเดียวมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการของทารกอายุตั้งแต่ 6 เดือนขึ้นไป จำเป็นต้องได้รับอาหารอื่นเสริม และเมื่อทารกเติบโตขึ้นอายุ 4-5 เดือน ทารกก็เริ่มหัดเคี้ยว ดังนั้นทารกควรจะได้รับอาหารกึ่งแข็งกึ่งเหลวหรืออาหารอ่อน เพื่อสร้างความคุ้นเคยและสร้างลักษณะนิสัยการกินที่ดีต่อไป แรกๆ ก็จะเป็นอาหารบดละเอียด และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอาหารที่มีเนื้อหยาบขึ้นเมื่อเริ่มมีฟันเคี้ยวได้ นอกจากนี้ยังต้องฝึกฝนกล้ามเนื้อด้วยการให้ถือช้อนถือแก้วน้ำเองบ้าง หรือหยิบอาหารชิ้นๆ กินเองได้
การเริ่มให้อาหารเสริมแก่ทารก เป็นช่วงที่คุณพ่อคุณแม่ตื่นเต้นที่ได้เห็นพัฒนาการต่างๆของลูก ขณะเดียวกันก็มีความกังวลไม่มั่นใจว่าจะทำได้ตามคำแนะนำหรือตามตำราหรือเปล่า คุณพ่อคุณแม่ก็ใช้หลักการง่ายๆ คือ เรียนรู้ถึงความพร้อมของลูก และให้อาหารเสริมแก่ลูกเมื่อลูกพร้อม ซึ่งความพร้อมนี้ไม่ได้อยู่ที่อายุอย่างเดียว ยังมีอีกหลายปัจจัย เช่น ต้องดูจากอัตราการเจริญเติบโต พัฒนาการ ความสมบูรณ์ของร่างกายและระบบประสาทของเด็ก และความต้องการสารอาหาร จากนั้นจึงจะวางแผนได้ว่าควรให้ลูกเริ่มกินอาหารเสริมเมื่อใด ชนิดใด และปริมาณแค่ไหนจึงจะเหมาะสม ซึ่งบางครั้งคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเรียนรู้จากการลองผิดลองถูกด้วย
องค์การอนามัยโลกได้เสนอให้เริ่มเมื่ออายุครบ 6 เดือน แต่เดิมของไทยเราเคยได้รับการแนะนำที่อายุตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป แต่ในปัจจุบันนี้แนะนำที่อายุครบ 4 เดือนขึ้นไป ซึ่งยังคงต้องศึกษาเพื่อหาแนวทางที่ชัดจนและเหมาะสมสำหรับทารกไทยด้วย

อาหารเสริมสำหรับทารกมีความสำคัญอย่างไร?

อาหารเสริมสำหรับทารกมีความสำคัญอย่างไร?

ในช่วงสองขวบปีแรก ทารกจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งทางด้านกายภาพ การพัฒนาด้านต่างๆ ตลอดจนทางด้านสังคม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นผลจากการเลี้ยงดูและสารอาหารที่ได้รับ ทารกที่ได้รับการเลี้ยงดูด้วยสารอาหารอย่างเพียงพอจะมีความสามารถในการตอบสนองและการเรียนรู้ต่อสิ่งเร้าต่างๆ ในสิ่งแวดล้อมได้ดี ทารกแรกเกิดจะมีการประสานกันระหว่างการดูด การกลืน และการหายใจ ดังนั้นแรกๆ ก็จะควรได้รับแต่อาหารที่เป็นของเหลวเท่านั้น ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาการเคี้ยว การควบคุมศีรษะ ความสามารถในการเคลื่อนไหว การทรงตัวในท่านั่ง และความสามารถในการคว้า กำมือ จึงจะเริ่มให้อาหารที่มีลักษณะเป็นกึ่งแข็งกึ่งเหลว และของแข็งตามลำดับ
อาหารเสริมสำหรับทารกมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยให้ทารกมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมีพัฒนาการด้านการเคี้ยว การกลืน และการย่อยอาหารแข็งอย่างเหมาะสม และที่สำคัญเป็นการสร้างสมพฤติกรรมการกินที่ดีตลอดไปเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทารกที่ได้รับอาหารเสริมเพียงพอทั้งชนิดและคุณภาพ จะช่วยป้องกันภาวะการขาดสารอาหารทั้งในวัยทารกและวัยก่อนเรียนได้
โดย ภญ. อ. ดร. สุญานี พงษ์ธนานิกร ภาควิชาอาหารเคมี คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อาหารเสริมสำหรับทารก

อาหารเสริมสำหรับทารกคืออะไร?

ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจถึงคำสองคำคือ อาหารเสริมสำหรับทารก กับคำว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งมีความหมายต่างกันกล่าวคือ อาหารเสริมสำหรับทารก เป็นอาหารที่เตรียมขึ้นสำหรับเลี้ยงทารกโดยเสริมจากนมแม่หรือนมผสม หรือกล่าวว่าเป็นอาหารอื่นๆ นอกเหนือจากนมที่ใช้เลี้ยงทารก แต่ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือบางที่จะเรียกกันว่าอาหารเสริมนั้นหมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานเพื่อเสริมการรับประทานอาหารหลักตามปกติประจำวัน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หรือไม่ครบถ้วนจากอาหารปกติ หรือมีความเบื่ออาหาร เช่น ในผู้สูงอายุเพื่อจุดประสงค์ในการป้องกันอาการขาดสารอาหาร เช่น พวกวิตามิน เกลือแร่ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในผู้ใหญ่มากกว่า รูปแบบส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องดื่มผงชงดื่ม เป็นน้ำซุป หรือาจจะอยู่ในรูปเม็ด แคปซูล หรือน้ำ ก็ได้ อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนี้มัจุดม่งหมายสำหรับผู้ที่มีสุขภาพปกติ (ไม่ใช่สำหรับผู้ป่วย) และเพื่อป้องกันการเกิดโรคต่างๆ
สรุปก็คืออาหารเสริมสำหรับทารกก็คืออาหารที่ให้เด็กรับประทานเสริมจากนมแม่หรือนมผสม ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถเตรียมขึ้นเองในครัวเรือน หรือบางครั้งอาจจำเป็นต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ขายในท้องตลาดบ้างเป็นครั้งคราว ซึ่งก็ต้องพิจารณาเลือกอาหารบริโภคให้เหมาะกับลูกของเราด้วย ซึ่งการจัดอาหารสำหรับลูกโดยเฉพาะในวัยทารกไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นที่ทราบกันดีว่าปัจจัยที่สำคัญในการส่งเสริมให้ทารกและเด็กมีการเจริญเติบโตและพัฒนาการอย่างสมวัยก็คืออาหารและการเลี้ยงดู โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคุณพ่อคุณแม่คนใหม่มักมีคำถามมากมาย ….. จะให้กินนมอะไรดี……..อาหารเสริมจะจัดให้ทารกเมื่อไร…….ลูกกินอะไรได้บ้าง…… จะเตรียมยังไงดี………กินแล้วจะเกิดปัญหาไหม ……. ทำไมถึงไม่ยอมกินเลย …… กินแล้วทำไมปวดท้อง …… ทำไมท้องเสีย …… ทำไม …… อย่างไร …..ฯลฯ หลายคำถามทีเดียว ซึ่งก็ไม่ได้มีสูตรสำเร็จอะไรมากนัก คุณพ่อสามารถจะเรียนรู้จากคุณย่าคุณยาย หรือคำแนะนำต่างๆ จากแพทย์ พยาบาล หรือสื่อต่างๆ (บางครั้งความเชื่อในเรื่องการกินของผู้ใหญ่สมัยก่อนก็ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องมีการติดตามข้อมูลข่าวสารใหม่อย่างสม่ำเสมอ) และที่สำคัญเรียนรู้จากการดูแลและสังเกตลูกอย่างใกล้ชิด เพราะเด็กแต่ละคนก็จะไม่เหมือนกัน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ ปรับและเปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับลูก

โดย ภญ. อ. ดร. สุญานี พงษ์ธนานิกร ภาควิชาอาหารเคมี คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

น้องแพรวา....หน้ากล้อง พ่อถ่ายเอง

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2554

10 วลีทรงพลัง เพื่อคนคิดบวก




10 วลีทรงพลัง เพื่อคนคิดบวก

คงไม่มีใครที่หาญกล้าปฏิเสธว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ได้สร้างความวิตกให้คนไทยทั้งประเทศ
หลายๆคนกลัวว่า เราจะไม่มีวันคืนเก่าๆ(ที่ผู้คนมีแต่รอยยิ้ม) กลัวว่าเราทำร้ายตัวเองจนล้าหลังไม่ทันเพื่อนบ้าน
มีหนังสือเล่มหนึ่ง ที่ผมเห็นว่าเหมาะกับสถานการณ์บ้านเมืองในห้วงเวลานี้ ที่สังคมกำลังต้องการทั้งขวัญและกำลังใจ
หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า Ten Powerful Phrases for Positive People หรือชื่อในภาษาไทย “10 วลีทรงพลังเพื่อคนคิดบวก” ผู้เขียนคือ ริช เดอโวส ผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจ แอมเวย์ ที่ค่อยๆสร้างธุรกิจ จนเป็นที่รู้จักไปทั่วทุกมุมโลก
ริช เดอโวส เขียนหนังสือเล่มดังกล่าวเมื่อไม่นานมานี้ หลังตกผลึกว่า พลังของการคิดบวกนั้นเปี่ยมล้นด้วยอานุภาพเหลือคณานับ หากศึกษาประวัติของ ริช จะพบว่า เพราะการ “คิดบวก” ทำให้ก้าวผ่านเหตุการณ์ต่างๆอย่างนึกไม่ถึง ทั้งช่วงเริ่มก่อตั้งธุรกิจ การทำให้ธุรกิจได้รับการยอมรับไปทั่วโลก รวมถึงการผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจในวัย 71 ปี ซึ่งถือว่าสุ่มเสี่ยงต่อชีวิตอย่างยิ่งมาดูกันว่า “10 วลีทรงพลังเพื่อคนคิดบวก” ของ ริช เดอโวส มีอะไรกันบ้าง

1.“ฉันผิดเอง” (I am wrong) ริช เดอโวส ระบุว่า “ฉันผิดเอง” เป็นคำพูดที่ช่วยเปลี่ยนทัศนคติตัวเราได้ดีที่สุด เนื่องจากคนส่วนใหญ่มักไม่ยอมรับว่าตัวเองทำผิด โดยเฉพาะเมื่อต้องยอมรับผิดต่อหน้าคนอื่น เจ้าตัวแนะว่า เราทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับว่าตัวเองผิด แค่เอ่ยคำว่า “ฉันผิดเอง คุณทำถูกแล้วล่ะ” เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้สัมพันธภาพดีขึ้น ช่วยให้การเจรจาต่างๆเดินไปข้างหน้า หรือยุติการโต้แย้งที่กำลังเกิดขึ้น
“ฉันผิดเอง” ยังเป็นคำพูดที่แปรเปลี่ยนศัตรูให้กลายเป็นมิตร แม้การยอมรับว่า “ฉันผิดเอง” จะลดความน่าเชื่อถือของคุณในบางสถานการณ์ลงก็ตาม

2. “ฉันขอโทษ” (I am sorry) หลายๆครั้งที่การกล่าวถ้อยคำสั้นๆนี้เป็นเรื่องยาก แต่การกล่าวคำนี้ให้เป็นนิสัยเป็นสิ่งคุ้มค่า เพราะโดยธรรมชาติมนุษย์มักปกป้องตัวเอง มักคิดว่าตัวเองถูกเสมอ แต่พอเอ่ยคำนี้ออกมาจะรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก การกล่าวคำว่า “ขอโทษ” แสดงถึงว่าคุณปรารถนาจะกลับมาสานต่อความสัมพันธ์กับบุคคลที่เป็นคู่กรณีกับคุณการกล่าว “ขอโทษ” ต้องออกจากส่วนลึกจริงๆ ความรู้สึกนี้ยังเกิดขึ้นพร้อมๆกับการแสดงออกทั้งสีหน้าและแววตา ไม่ใช่กล่าวแบบขอไปที เพื่อให้จบๆลงเท่านั้นผมเองใช้คำว่า “ขอโทษ” ทั้งชีวิตส่วนตัวและการทำงาน ยกตัวอย่างเวลาที่เรามีโปรโมชั่นแรงๆและสินค้าไม่พอขาย เพียงกล่าวคำคำนี้ จากหนักจะกลายเป็นเบาทันที ทุกคนพร้อมจะให้อภัยคุณ

3.”คุณทำได้” (You can do it) ริช ระบุว่า…ผู้คนจำนวนมากไม่เคยลองทำอะไรเลยเพราะกลัวความล้มเหลว กลัวว่าตัวเองไม่มีชั่วโมงบินมากพอ กลัวเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หรือหัวเราะเยาะ สำหรับคนเหล่านี้ ริช แนะนำว่า “ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน แล้วก็ลงมือได้เลย คุณทำได้!” แน่นอน เมื่อได้ยินคำว่า “คุณทำได้” จะสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นได้ไม่มากก็น้อย

4. “ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ” (I believe in you) เป็นคำพูดที่ต่อเนื่องจาก “คุณทำได้” (คุณทำได้…ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ) ต่างกันที่เป็นคำพูดที่แสดงถึงความรู้สึกลึกๆ เป็นคำพูดสำหรับผู้นำที่ใช้พูดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ พ่อแม่ที่ส่งต่อความรู้สึกนี้กับลูกๆ หรือเจ้านายที่มีต่อลูกน้องที่กำลังเจออุปสรรคและต้องการความช่วยเหลือ
เราสามารถแสดงให้เห็นถึงความ “เชื่อมั่น” ได้ง่ายๆ อาทิ การเปิดโอกาสให้เพื่อนร่วมงานได้แสดงความสามารถ แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่เสนอมานั้นอาจมีความผิดพลาดเกิดขึ้น

5.“ฉันภูมิใจในตัวคุณ” (I am proud of you) เพียงเราเปล่งคำนี้ จะพบว่ามีอานุภาพสูงมากในการสร้างขวัญกำลังใจให้ผู้ฟัง คำพูดที่ว่า “พ่อภูมิใจในตัวลูก” หรือ “ผมภูมิใจในตัวคุณ” “ผมภูมิใจในความสำเร็จของคุณ” เป็นการให้กำลังใจที่ดีมาก โดยปกติแล้วคนไทยเราไม่ค่อยชมเชยผู้อื่นด้วยคำพูดนี้เท่าไหร่นัก

6. คำว่า “ขอบคุณ” (Thank you) ริช ระบุว่า เป็นคำที่ทุกๆคนอยากได้ยิน และทุกคนสามารถกล่าวได้อย่างไม่ตะขิดตะขวง เรากล่าวคำขอบคุณกับผู้ให้บริการ หรือผู้ที่ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้เรา กล่าวกับผู้ที่ชมเชยเรา ผู้ที่มีน้ำใจ หรือมีเมตตาต่อตัวเรา แม้ว่าจะเป็นเพียงเรื่องเล็กๆ น้อยๆริช เดอโวส ตั้งข้อสังเกตว่า บ่อยครั้งที่เราใช้เวลานานมากกว่าจะเปล่งคำคำนี้ออกมาสักครั้ง แต่ใช้เวลาเดี๋ยวเดียวในการต่อว่าผู้อื่น บางทีเรามัวแต่นึกถึงและยุ่งอยู่กับตัวเอง จนลืมขอบคุณผู้อื่น

7. “ฉันต้องการคุณ” (I need you) เป็นอีกคำที่มีอานุภาพยิ่งสำหรับคนคิดบวก เพราะบ่งบอกถึงการยอมรับในความสามารถผู้อื่น เป็นคำที่สำคัญมากสำหรับผู้นำ จะเห็นว่าผู้นำหลายๆคน เมื่อมีตำแหน่งสูงขึ้นเพียงใดยิ่งมองไม่เห็นความสำคัญของผู้มีตำแหน่งต่ำกว่า ทั้งที่ในความเป็นจริง ไม่มีทางที่เราจะนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้โดยลำพัง เมื่อคุณกล่าวคำคำนี้ออกมา จะเป็นการสร้างบรรยากาศเชิงบวกให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือที่ทำงาน

8. “ฉันวางใจในตัวคุณ” (I trust you) ความสำเร็จที่ได้รับขึ้นอยู่กับเราได้มอบความไว้วางใจให้กับใครสักคน ว่าจะสามารถทำงานให้บรรลุเป้าหมาย และไว้ใจได้ว่าจะรักษาสัญญาที่ให้ไว้ เราจำเป็นต้องไว้วางใจเพื่อนร่วมงาน ครอบครัว รวมไปถึงชุมชน ในสังคมที่ไม่มีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ความไว้วางใจเป็นคุณสมบัติสำคัญของการเป็นผู้นำเช่นกัน เมื่อมีคุณสมบัตินี้ ใครๆก็อยากเป็นเหมือนคุณ อยากเป็นเพื่อนคุณ อยากปฏิบัติตามคุณ อยากทำธุรกิจหรือร่วมลงทุนกับคุณ ริช ระบุไว้ในหนังสือว่า กฎทองของคำคำนี้ คือ จงปฏิบัติต่อผู้อื่น เหมือนที่อยากให้ผู้อื่นปฏิบัติกับคุณ

9. “ฉันเคารพคุณ” (I respect you) คุณจะได้รับความเคารพกลับมาก็ต่อเมื่อให้ความเคารพผู้อื่น “ฉันเคารพคุณ” จึงเป็นคำพูดที่ทั้ง “ให้” และ “รับ” จากผู้อื่น การเคารพยังเป็นการแสดงออกที่ซ่อนเร้นได้ยาก และสามารถรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณริช กล่าวว่า ในช่วงที่เป็นผู้นำองค์กร เขาคิดว่าการเคารพผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ความรู้พื้นฐานทางธุรกิจและวิธีการดำเนินองค์กรจะมีค่าน้อยทันที หากคุณไม่เคารพคนที่คุณทำงานด้วย ถ้าพวกเขาไม่เคารพคุณ เท่ากับคุณไม่ใช่คนที่เป็นผู้นำ “เราทุกคนล้วนต้องการเป็นที่เคารพ ถ้าคุณต้องการความเคารพ ผมแนะนำให้คุณเริ่มต้นด้วยการเคารพผู้อื่นก่อน” ริช เดอโวส ระบุเอาไว้

10. “ฉันรักคุณ” (I love You) เป็นคำพูดทรงพลังที่โอบกอดทุกคนไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกต่อคนรัก ครอบครัว หรือหมู่เพื่อนสนิท เป็นคำพูดที่ผู้ฟังรู้สึกอบอุ่นมากกว่า “ฉันวางใจในตัวคุณ” หรือ “ฉันเชื่อมั่นในตัวคุณ” เป็นคำที่ใช้พูดกับคนที่คุณรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ การพูดว่า “ฉันรักคุณ” เป็นย่างก้าวสำคัญสำหรับทุกๆคน
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ มีคำคำไหนที่ตัวผมใช้มากที่สุด คำว่า “ขอโทษ” เป็นคำที่ใช้ทั้งส่วนตัวและชีวิตประจำวัน แต่ถ้าในการทำงานในแอมเวย์ ประเทศไทย มีทั้ง I trust you ที่แสดงถึงความไว้เนื้อเชื่อใจในเพื่อนร่วมงาน หรือ I am proud of you ที่บ่งบอกถึงความภูมิใจ และใช้กันบ่อยๆในโลกขายตรงข้อสังเกตของผม ก็คือ คนไทยมักไม่ค่อยเอ่ยคำว่า I love you เหมือนสังคมตะวันตก ทั้งที่เป็นคำที่มีความหมายล้ำลึกยิ่ง เพราะความรักไม่ได้จำกัดเฉพาะสามีภรรยา คนหนุ่มสาว เพื่อนร่วมงาน ยังมีสิ่งอื่นๆ ที่เราสามารถแสดงซึ่งความรักได้ ไม่ว่าจะเป็นความรักต่อแผ่นดินเกิด หรือความรักที่มีต่อประเทศชาติ

ปรีชา ประกอบกิจ / 21 กรกฎาคม 2553
จาก http://www.sarut-homesite.net

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2554

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554

X5

สุดยอด !

กล้าเปลี่ยน.....กล้าเปลี่ยน กล้าหรือเปล่า

มีคนมากมาย...ที่ได้แต่รอคอย เฝ้าถามชีวิต...จะดีขึ้นเมื่อไร ทำดีทุ่มเท...ทุ่มไปทั้งกายใจ สุดท้ายชีวิต...ก็ยังยืนที่จุดเดิม * คืนซ้ำๆ วันเก่าๆ ยังเวียนวน เดินบนถนนที่ไม่มีปลายทาง... ** มาปลี่ยนชีวิตสักครั้ง จะมีเส้นทางเดินใหม่ แค่เราเปิดใจ ยังมีจุดหมายให้เราไปต่อ โอกาสยังมีเสมอ เพียงแค่เราไม่ท้อ วันนั้นที่เฝ้ารอ จะมาถึงแค่เรากล้าเปลี่ยน..!!!

วันพุธที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2554

ขำ...ขี้แตก

มองชีวิต..คิดขำ ๆ

1.คู่ต่อสู้ ศัตรูที่เราแสนเกลียด บางครั้งเราต้องกอดมันไว้
ไม่ใช่เพราะรัก
ก็แค่..หนีบหมัด ไม่ให้มันต่อยเราถนัดเท่านั้นเอง

2. ไม่มีอะไรบังคับให้มนุษย์อ้าปากค้าง ได้นานเท่ากับหมอฟัน

3. ผู้หญิงดีๆ หาง่าย ขึ้นอยู่กับว่า
เรามีความดีพอที่จะดึงดูดเขามารึเปล่า

4. ถ้าเราสับสนในสิ่งที่กำลังทำอยู่ ว่าเราควรจะทำอะไรต่อไป
ให้ถามตัวเองว่า...สิ่งที่เราทำอยู่มันทำให้ชีวิตเราดีขึ้นรึเปล่า

5. เมื่อเราโกรธ เกลียดใครสักคนมากๆ ให้บอกตัวเราเองว่า
อายุเราสั้นเกินกว่าจะอยู่ด้วยความเกลียดชัง

6. ทุกครั้งที่ดูหนังในต่างประเทศ จะรู้สึกเหมือนขาดทุน
เพราะเราไม่ได้ยืนถวายความเคารพพระบรมฉายาลักษณ์ และ
เพลงสรรเสริญพระบารมี

7. วิธีเดียวที่จะแก้แค้นพวกอิจฉาริษยาได้คือ ทำงานดีๆ
ประสบความสำเร็จยิ่งๆ ขึ้นไป
ไฟอิจฉาจะยิ่งเพิ่มในใจเขา จนก่อสารมะเร็งขึ้นมาฆ่าเขาเอง

8. เอดส์ป้องกันได้ ถ้าไม่ไปตรวจ

9. ประโยชน์ของการอกหัก ทำให้ฟังเพลงเพราะขึ้น
ประโยชน์ของความโกรธ ทำให้เคี้ยวมะม่วงได้ละเอียดขึ้น

10. อย่าเชื่อ...ใครบอกว่าเขาไม่เคยลืมตัว
ถ้าคนๆ นั้นยังเคยลืมกินยาหลังอาหาร

11. ชีวิตคู่ คือการยอมรับความเฮงซวยของฝ่ายตรงข้ามให้ได้มากที่สุด

จาก FW MAIL

กลยุทธ์การช่วยให้ลูกเจริญเติบโตสมวัย

ไม่เพียงแค่สร้างสีสันให้กับชีวิตเราเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์กับร่างกายและจิตใจอย่างมหาศาลทีเดียวค่ะ จากรายงานของ ARISE (Associates for Research Info the Science of Enjoyment) หรือองค์การวิจัยเพื่อศาสตร์แห่งความสุข ซึ่งเป็นสถาบันกลางที่ร่วมผลงานการค้นคว้าโดยผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก พบว่า…

การหัวเราะจะช่วยลดระดับฮอร์โมนที่ก่อให้เกิดความเครียดลง ช่วยลดความเจ็บปวดและทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เมื่อใดที่เราหัวเราะ ร่างกายจะผลิตเซลล์ที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับเซลล์มะเร็งและเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสได้มากขึ้น นอกจากนี้การหัวเราะยังส่งผลดีต่อระบบการทำงานของร่างกาย เช่น ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร การไหลเวียนโลหิต และระบบต่อมไร้ท่อด้วย และยังมีประโยชน์อื่นๆ ที่เรานึกไม่ถึงเชียวค่ะ อาทิ
เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย การหัวเราะจะช่วยเพิ่ม “IgA” ซ่งเป็นภูมิคุ้มกันชนิดหนึ่งในน้ำลาย สำหรับป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหาย เช่น ไข้หวัด หรือภูมิแพ้

ลดภาวะซึมเศร้า การหัวเราะจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนโดพามีนซึ่งเป็นสารที่ช่วยต่อต้านกับความเครียดได้

กระตุ้นหัวใจให้แข็งแรงขึ้น การหัวเราะอย่างต่อเนื่อง 15-20 นาที เป็นเสมือนการออกกำลังกายให้หัวใจได้ประมาณ 3-5 นาที

ช่วยบริหารปอด การหัวเราะทำให้กระบังลมเคลื่อนไหวได้มากขึ้น ทำให้ระบบหมุนเวียนอากาศของปอดทำงานดีขึ้น สำหรับผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจจึงควรหัวเราะบ่อยๆ ค่ะ

ช่วยชะลออาการของโรค เมื่อคุณหัวเราะจะทำให้คุณอารมณ์ดีและมีความสุขไม่กังวลและเครียดอยู่กับอาการของโรค

ลดอาการเจ็บปวด เมื่อเราหัวเราะร่างกายจะรู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งช่วยลดความเจ็บปวดได้ค่ะ เช่นเวลาที่ฉีดยาคนที่เกร็งกล้ามเนื้อ หรือเครียดจะเจ็บกว่าคนที่รู้สึกผ่อนคลายค่ะ


ถ้าคุณเคยดูภาพยนต์เรื่อง Patch Addms นำแสดงโดย Robin Williams ดาราชื่อดังของ Hollywood ซึ่งนำเค้าโครงมาจากเรื่องจริงของนักจิตวิทยาคนหนึ่ง ที่ใช้ความพยายามมากกว่า 30 ปี เพื่อทำให้คนไข้ของเขาหัวเราะ ไม่ว่าอาการเจ็บป่วยนั้นจะรุนแรงเพียงใดก็ตาม เพราะเห็นประโยชน์ของการหัวเราะนั่นเอง

บ้านเราก็เช่นกันค่ะ ขณะนี้ศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตประสานมิตร ได้จัดตั้งโครงการศาสตร์และศิลป์แห่งการหัวเราะบำบัดขึ้นแล้วค่ะ


เสียงหัวเราะ… ดัชนีความสุขและการเติบโตของลูก

ถ้าเจ้าของเสียงหัวเราะคือลูกน้อยของคุณ ผลที่ได้ก็ไม่ต่างจากผู้ใหญ่หรอกค่ะแต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ เสียงหัวเราะของลูกเปรียบเหมือนเสียงสวรรค์ของพ่อแม่ เพราะเป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งว่าลูกกำลังมีความสุข

ขณะเดียวกันก็สื่อนัยว่า ลูกจะเป็นเด็กที่มีพัฒนาการทางอารมณ์และการเรียนรู้ที่ดี เพราะเด็กจะใช้เสียงหัวเราะและอารมณ์ขันเพื่อผ่อนคลายความรู้สึกตึงเครียด และสร้างบรรยากาศให้สนุกสนานเกิดขึ้นภายในจิตใจ ทั้งยังได้เรียนรู้วิธีที่จะสื่ออารมณ์ในทางบวกผ่านทางเสียงหัวเราะ ทำให้ฮอร์โมนโดพามีน (Dopamine) ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ความสุข การเคลื่อนไหวและความจำหลั่งออกมา ส่งผลให้เด็กมีความสุขและต่อต้านกับความเครียด จนทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ในร่างกายลดลงและเจริญเติบโตได้ตามปกติ

จะว่าไป ฮอร์โมนคอร์ติซอลก็ไม่ได้เป็นผู้ร้ายที่ต้องกำจัดออกไปจากร่างกายหรอกเพระาถ้ามีในระดับที่พอดีก็จะเป็นแรงเสริมให้เด็กๆ มุ่นมั่นทำสิ่งต่างๆ จนประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย แต่ถ้ามีมากเกินก็ส่งผลร้ายต่อร่างกายได้ เพราะจะทำให้เกิดอาการเครียด การเจริญเติบโตไม่ดี โดยเฉพาะสมอง และอาจทำให้เกิดโรคได้ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็ง กระเพาะอาหาร เป็นต้น ซึ่งวิธีลดระดับคอร์ติซอลนั้นง่ายมาก เพียงหาหนทางให้ลูกหัวเราะ ให้ฮอร์โมนโดพามีนจะได้หลั่งออกมาไงคะ

พอนึกออกแล้วนะคะ ว่าถ้าวันหนึ่งๆ ลูกไม่หัวเราะหรือมีอารมณ์ขันเลย จะเกิดอะไรขึ้น ที่ชัดเจนคือ ลูกจะเครียด ไม่มีความสุข การเจริญเติบโตไม่ดี มองโลกในแง่ร้ายไม่ไว้ใจใคร ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง และมีบุคลิกภาพที่ไม่ดีตามมาอีกด้วยค่ะ


เสียงหัวเราะสำคัญต่อลูกในท้อง

สำหรับคุณแม่ท้องจำเป็นที่ต้องสร้างเสียงหัวเราะอย่างยิ่ง หรือทำให้ตัวเองอารมณ์ดี เพราะนั่นหมายึงลูกน้อยจะได้รับอานิสงส์จากเสียงหัวเราะของคุณไปด้วย เพราะถ้าแม่ท้องมีอารมณ์ขันหรือหัวเราะอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของระบบทางเดินหายใจทั้งต่อตัวแม่และลูกน้อยในครรภ์ ซึ่งเด็กที่อยู่ในท้องของคุณแม่อารมณ์ดีเมื่อคลอดออกมาจะเติบโตดี และเป็นจุดเริ่มต้นของความสามารถในการเรียนรู้ทั้งหมด

ที่สำคัญช่วง 0-6 ปี สมองของลูกเจริญเติบโตได้ดีที่สุด จงต้องต่อยอดการเรียนรู้ด้วยการเสริมกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ลูกมีอารมณ์ที่ดี เพราะเมื่อลูกสนุกและอารมณ์ดีแล้วทุกอย่างรอบตัวก็น่าสนุกและน่าเรียนรู้ไปหมด แม้ในยามที่เจอปัญหาก็กลายเป็นเรื่องท้าทายให้หาทางออกและใช้ความคิดสร้างสรรค์ค่ะ


กลยุทธ์จุดอารมณ์ขัน

เบบี้ 0-1 ปี
วัยนี้ลูกสามารถสร้างเสียงหัวเราะและอารมณ์ขันได้ง่ายมาก ไม่ต้องไปสรรหาวิธีการอะไรให้ยุ่งยาก เพียงแค่เราเอาใจใส่และทำทุกช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันให้มีแต่ความสุขเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วยให้เขาได้เรียนรู้โลกกว้าง ร่างกายแข็งแรง มีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่ดีและสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้

กิจกรรมที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างเสียงคิกคักให้เจ้าตัวเล็กได้นั้นมีมากมายค่ะขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกหยิบจับอะไรมาเล่นกัน ลองมาดูกันนะคะ
1. จ๊ะเอ๋…เบบี้ เป็นกิจกรรมยอดฮิตครองแชมป์โลกก็ว่าได้ เพราะพ่อแม่ทุกคนต้องเล่นกับลูกแน่นอนค่ะ สามารถเรียกความสนใจเจ้าตัวเล็กให้รู้จักมักคุ้นกับใบหน้าของคนรอบๆ ตัว อาจจะใช้ผ้าอ้อมของลูก ตุ๊กตา หรทอมือของคุณเองก็สามารถสร้างเสียงหัวเราะให้ลูกได้แล้วค่ะ

2. เล่นปูไต่ วิธีนี้ก็สนุกไม่เบา ใช้ปลายนิ้วของแม่หรือพ่อสัมผัสที่ท้องลูกเบาๆ ลูกจะรับรู้ถึงสัมผัสนั้นได้ แค่นี้ก็ทำให้ลูกรู้สึกจั๊กจี๋และส่งเสียงหัวเราะได้แล้ว

3. เอื้อมให้ไกลไปให้ถึง เพียงแค่คุณเอาของเล่นที่ลูกชอบ ชอบวางให้ห่างจากมือลูกสักนิด เจ้าตัวเล็กจะคืบคลานทีละนิดๆ เพื่อเอื้อมหยิบของเล่นชิ้นนั้น วิธีนี้สร้างทั้งเสียงหัวเราะและฝึกให้เขาได้บริหารกล้ามเนื้อแขน ขา และนิ้วมือด้วย

4. ยิ้มให้กระจก ลองหากระจกที่มีลวดลายสีสันสดใสให้ลูกส่องดูตัวเองสิคะ แล้วทำท่าทางต่างๆ ให้ลูกทำตาม แค่เขาเห็นตัวเองในกระจกก็ยิ้มไม่หุบแล้วค่ะ และถ้ามีท่าตลกๆ ให้เขาเห็นหรือทำตาม เขาจะหัวเราะร่าเลยเชียว

5. ไล่จับหนู การเล่นไล่จับกับลูกก็สร้างเสียงหัวเราะได้ ลูกอยู่ในวัยคลาน คุณก็คลานไล่ตามลูก เจ้าตัวเล็กจะรีบคลานหนีไปพร้อมๆ กับส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก วิธีนี้ทำให้กล้ามเนื้อแขน ขา และมือแข็งแรงขึ้นด้วยค่ะ

6. เป่าพุงป่อง เล่นแบบนี้ก็สนุกไม่แพ้กัน เพราะสร้างทั้งเสียงหัวเราะและเสียงดังจากการเป่า เสร็จแล้วก็แกล้งทำสะดุ้งตกใจเมื่อมีเสียงดัง หรืออาจทำท่าทางแปลกๆ ให้เขาดูก็ได้ค่ะ

7. บินเหมือนนก เป็นการเล่นอีกแบบหนึ่งที่สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับลูกได้ไม่แพ้วิธีอื่นๆ เพียงคุณอุ้มลูกให้นอนคว่ำ มือข้างหนึ่งจับที่หน้าอกและมืออีกข้างหนึ่งจับที่ช่วงขา แล้วพาเขาบินไปพร้อมๆ กัน เท่านี้เจ้าตัวเล็กก็ยิ้มร่าแล้วค่ะ

8. ขี่ม้าชมเมือง ชื่อนี้คุณอาจไม่คุ้นเคย แต่ถ้าบอกวิธีการแล้วคุณต้องร้องอ๋อ…วิธีก็มีอยู่ว่า เวลาที่คุณจะเล่นกับลูกต้องนอนหงายก่อน จากนั้นก็ให้ชันเข่าขึ้นตั้งตรงเข่าชิดกัน อุ้มเจ้าตัวเล็กไปวางไว้ที่หลังเท้าให้ตัวลูกแนบกับเข่า แล้วคุณก็ยกเท้าขึ้นลงๆ คุณอาจกางแขนลูกออกทั้ง 2 ข้าง พร้อมกับยกขาขึ้นค่ะ รับรองสนุกแน่

9. ตุ๊กตาหนูหายไปไหน นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ฮิตไม่เบาเช่นกัน เพียงเอาของที่ลูกโปรดปรานไปแอบไว้สักพัก จากนั้นก็ค่อยๆ เอาออกมาแล้วทำท่าตกใจให้เขาเห็น

10. โมบายกรุ๊งกริ๊ง เด็กเล็กบางคนแค่เห็นโมบายแกว่งไปมาก็อารมณ์ดีนอนยิ้มกริ่มแล้ว ยิ่งปล่อยให้เขาเอื้อมคว้าจับด้วย ก็จะยิ่งชอบใจค่ะ

11. แย่งของเล่น อันนี้ก็ใช้ของเล่นชิ้นโปรดของลูกเช่นกัน แต่คุณต้องแย่งของเล่นจากลูกด้วยการแกล้งดึงออกจากมือลูกแล้วก็ปล่อย…อย่าแย่งจริงล่ะ เดี๋ยวได้เสียงร้องไห้โฮโฮมาแทนเสียงหัวเราะฮ่าฮ่า จะหาว่าไม่บอกกันก่อน

12. ขี่คอบิน เพียงคุณอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นขี่คอ กางแขนของลูกออกแล้วพาบินไปด้วยกัน แต่ต้องระวังความปลอดภัยให้ลูกด้วยนะคะ

13. เหินฟ้า ใช้มือ 2 ข้างจับตัวลูกชูขึ้น-ลง ทำอย่างนี้ซ้ำ 2-3 ครั้ง ครั้งแรกเขาอาจจะตกใจ แต่เมื่อทำอีกคราวนี้ลูกจะสนุกและหัวเราะร่วนเลยล่ะค่ะ

14. เสื้อผ้าแสนสนุก หลังอาบน้ำเสร็จขณะที่คุณจะแต่งตัวให้เขา คุณก็นำเสื้อผ้าเหล่านั้นมาสร้างเสียงหัวเราะให้ลูก ด้วยการนำเสื้อผ้ามาสวมที่มือคุณแล้วเต้นไปตามจังหวะเพลงที่คุณร้อง หรืออาจจะแต่งเป็นนิทานสักเรื่องหนึ่งก็ได้ หรืออาจใช้เสื้อผ้าไปจั๊กจี๋ลูกแทนมือก็ได้อีกเช่นกัน

15. ตีได้ตีดี ไม่ได้ให้ตีลูกนะตัวเอง หมายถึงให้หาเครื่องดนตรีสำหรับเด็กๆ ที่สามารถตีหรือเคาะให้เกิดเสียงได้ จากนั้นก็ลองสาธิตให้เจ้าตัวเล็กดู แค่เจ้าตัวเล็กได้ยินเสียงก็จะรีบคว้าของจากมือคุณแล้วล่ะค่ะ


เตาะแตะ 1-3 ปี
อารมณ์ขันของวัยเตาะแตะนั้น สร้างได้ดังนี้ค่ะ
1. เล่นโยนบอล เอาลูกบอลที่ลูกชอบเล่นมาโยนส่งกับลูก พอบอลตกถึงพื้นก็แกล้งร้องและทำท่าตกใจ ลูกจะหัวเราะชอบใจแล้วโยนใหม่เล่นอีกครั้ง

2. นิทานแสนสนุก เล่านิทานให้ลูกฟังค่ะ โดยทำเสียงประกอบให้ดูเหมือนตัวละครในนิทานจริงๆ หรืออาจลองให้ลูกเล่านิทานให้เราฟังดูบ้าง ก็จะได้ความแปลกใหม่และสร้างเรื่องขำๆ ให้กับครอบครัวได้เช่นกัน

3. ร้องรำทำเพลง เปิดเพลงสนุกที่ลูกชอบหรือเพลงที่เหมาะกับลูก แล้ววาดลวดลายเต้นไปมาให้ลูกทำตาม หรือทำท่ารำ “น้อย นอย นอย…ก็ได้ค่ะ ไม่สงวนสิทธิ์

4. ปั่น ปั่น ปั่น รับรองว่ากิจกรรมปั่นจักรยานจะสามารถเรียกได้ทั้งเสียงหัวเราะและความตื่นเต้นเลยล่ะค่ะ แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องระวังอุบัติเหตุให้เขาด้วยนะคะ

5. ฟุตบอลพาเพลิน การเล่นแบบนี้ทำให้ลูกออกกำลังกายไปในตัว อีกทั้งยังสร้างเสียงหัวเราะให้ทั้งคุณและลูกได้เป็นอย่างดี เตะกันไปกันมา ผลัดกันเป็นคนรักษาประตูก็สนุกดีค่ะ


จอมซน 3-6 ปี
สำหรับวิธีสร้างอารมณ์ขันของเด็กที่โตขึ้นมาสักหน่อยดูจะมีเรื่องราวมากกว่าอารมณ์ขันของเด็กวัยอื่นแต่ต้องเสริมการเรียนรู้ให้ลูกด้วยค่ะ
1. ละเลงสี กิจกรรมนี้สนุกแน่นอน เพราะเจ้าตัวเล็กได้ฝึกทั้งลากด้วยเส้นสี การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ และใช้จินตนาการควบคู่กันไปด้วย แค่นี้…เสียงหัวเราะก็อยู่แค่ปลายนิ้วค่ะ

2. ทำกับข้าว เมนูวันนี้คุณลูกขอทำเอง คุณแม่คุณพ่อจะกินได้หรือเปล่านั้นไม่รู้ค่ะแต่สิ่งที่รู้คือเจ้าตัวเล็กสนุกที่ได้รู้จักผัก ผลไม้หรือของใช้ในครัวเรือนเพิ่มขึ้นแน่นอน

3. ยิ่งต่อยิ่งสนุก เด็กวัยนี้สามารถต่อบล็อกได้หลากหลายรูปแบบตามจินตนาการแล้วบางคนอาจจะง่ายๆ แต่บางคนคิดซับซ้อนมากขึ้น ยิ่งต่อก็ยิ่งสนุกค่ะ

4. เพลงโปรด ถ้าอยากได้ยินเสียงเอิ๊กอ๊ากของลูกวัยนี้ การร่วมร้องเพลงสุดโปรดไปกับใช้ได้เลยค่ะ บางครั้งลองแกล้งร้องเนื้อผิดหรือร้องเสียงหลงดูสิคะ ลูกจะขำและแก้ไขให้คุณร้องได้ถูกต้องทันทีเลยล่ะ

5. เกมต่อคำ ลองชวนลูกๆ มาเล่นเกมต่อสัมผัสเสียงดูสิคะ เช่น คุณพ่ออาจจะเริ่มด้วย คำว่า ดอกไม้ คุณแม่ต่อด้วยคำว่า ใบหญ้า แล้วก็ให้ลูกๆ ต่อคำซึ่งขึ้นต้นด้วยสระอา เช่น ปาท่องโก๋ ซาลาเปา กาน้ำ ฯลฯ …เล่นต่อคำกันไปจนกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะจนแต้มคิดคำไม่ออก (หรือคุณอาจจะแกล้งนึกคำไม่ออกก็ได้นา)

6. “พ่อแม่เปลี๋ยนไป” หน้าตาที่แปลกไปของพ่อแม่ก็เรียกเสียงฮาให้ลูกได้เหมือนกันไม่ว่าคุณจะแกล้งทำตาเหล่ ปากเบี้ยว ปากจู๋ หรือจะดันจมูกขึ้น ดึงหางตาลง ลองทำดูแล้วสังเกตว่าหน้าไหน ทำให้เจ้าหนูขำกลิ้งได้มากกว่ากัน

7. ปั้นแป้งโด แค่คุณแม่มีแป้งโดให้ลูกแล้วปล่อยให้เขาปั้น จะปั้นอะไรก็ได้ตามใจเขา ซึ่งกิจกรรมนี้ไม่ได้สร้างเสียงหัวเราะเพียงอย่างเดียวนะ แต่ยังช่วยเสริมจินตนาการให้กับเจ้าตัวเล็กได้อีกด้วย

8. แกล้งอำลูก เช่น ลูกบอกว่า “ขอน้ำเย็นกินหน่อยครับ” ลองตอบลูกไปว่า “น้ำเย็นไม่มี มีแต่น้ำมืดแล้ว” รับรองว่าเรียกเสียงหัวเราะได้ตลอดเลยล่ะค่ะ

9. ผลุบๆ โผล่ๆ เกมนี้เด็กๆ ชอบมาก เช่น คุณพ่อกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ลูกก็แกล้งมาโผล่ใต้โต๊ะที่พ่อนั่ง พ่อทำท่าตกใจ…ลูกจะหัวเราะชอบใจทุกครั้งเลยค่ะ


เสียงหัวเราะ และอารมณ์ขันเป็นเพียงเสียงธรรมดาที่ใครๆ ก็สร้างได้ จะหัวเราะเมื่อไหร่ก็ได้ แต่แปลกที่คนเรากลับหัวเราะน้อยลงทุกวัน ถึงเวลาแล้วค่ะ ที่เราต้องสร้างเสียงหัวเราะแห่งความสุขให้เกิดขึ้นในครอบครัวโดยเฉพาะกับลูกน้อย ถ้าไม่อยากให้เขาเป็นเด็กที่ไม่มีความสุข พัฒนาการและการเจริญเติบโตมีปัญหาค่ะ.



[ ที่มา.. นิตยสารรักลูก ปีที่ 24 ฉบับที่ 286 พฤศจิกายน2549 ]

การสร้างพื้นฐานสังคมที่ดีให้กับลูกน้อย

อย่าเพิ่งขมวดคิ้วนะคะว่า เด็กวัย 0-1 ปี จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสังคมแล้วหรือ?

เพราะการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสังคมของเด็กวัย 0-1 ปี ไม่ได้หมายถึงการเตรียมพร้อมให้ลูกได้เจอกับผู้คนมากหน้าหลายตา หรือไปอยู่กับคนนั้นคนนี้ ตรงกันข้ามเลยค่ะ

การเตรียมพร้อมให้ลูกเข้าสังคมนั้นคือการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ หรือที่เรียกว่า Basic Trust ซึ่งจะเกิดในช่วงวัย 0-1 ปี เท่านั้น ตามทฤษฎีของ Erik Erikson ถ้าเลยช่วงนี้ไปแล้วอาจจะสร้างให้เกิดขึ้นได้แต่ไม่สมบูรณ์เท่าช่วงขวบปีแรก



ไว้เนื้อเชื่อใจ (Basic Trust) พื้นฐานสำคัญ?
มีคนใกล้ชิดผูกพันแนบแน่นอย่างน้อย 1 คน (mother figure)

ซึ่งคนคนนี้สำคัญมากนะค่ะ จะเป็นพ่อ แม่ ปู่ย่า ตายาย หรืออาจจะเป็นพี่เลี้ยงก็ได้ แต่เป็นคนที่เด็กมีความผูกพัน เป็นคนที่เด็กสามารถจดจำได้เป็นคนแรก เป็นคนที่ทำให้เด็กรู้สึกเติมเต็ม รวมทั้งยังมีความบอุ่นใจ ตอบสนองในสิ่งที่เขาต้องการได้ทันที ทำให้เขารู้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว เพราะไม่ว่าจะไปไหนก็จะมีคนคนนี้จะอยู่กับเขาด้วยเสมอ ซึ่งเด็กก็จะเกิดความไว้ใจ มั่นใจและรู้สึกดีต่อโลกภายนอก นำไปสู่การสร้างพัฒนาการทางสังคมที่ดีต่อไปค่ะ

ซึ่งในอนาคตเด็กจะชอบแยกตัว หรือเข้าสังคม คนคนนี้มีส่วนมาก เพราะถ้าเด็กเติบโตโดยรู้สึกว่าไม่ได้รับการตอบสนองหรือเอาใจใส่ เขาจะชอบแยกตัว เพราะคิดว่าไม่มีคนสนใจหรือใส่ใจ

จะให้ดีที่สุด หน้าที่สำคัญนี้ควรจะเป็นคุณพ่อคุณแม่นะคะ เพราะไม่มีใครที่จะใส่ใจดูแลลูกของเราได้ดีมากที่สุดเท่ากับเราหรอกค่ะ

คนเยอะ เปลี่ยนคนเลี้ยงบ่อยไม่ดี

ถ้าลูกมีพี่เลี้ยง พยายามอย่าเปลี่ยนพี่เลี้ยงบ่อย เพราะจะมีผลต่อความจำ โดยเฉพาะเด็กอายุ 3 เดือนไปแล้ว จะเริ่มจดจำ เพราะฉะนั้นควรจะเป็นสิ่งเดิมๆ เป็นคนหน้าเดิมๆ ถ้าเปลี่ยนคนเลี้ยงบ่อย หรือส่งลูกไปอยู่กับคนนั้นทีคนนี้ที เขาจะรู้สึกว่าคนที่เขาไว้ใจ หรือคนที่เลี้ยงเขาหายไปไหน สิ่งเหล่านี้สร้างความรู้สึกที่ไม่มั่นคงในจิตใจของเด็กได้ค่ะ

และในวัย 6 เดือน เด็กจะเริ่มกลัวคนแปลกหน้า การไปเจอคนเยอะๆ จะไม่เป็นผลดีถ้าคุณแม่หรือคนที่เลี้ยงดูเขาไม่ได้อยู่กับเขาด้วย เพราะนั่นจะทำให้เขารู้สึกกลัว กังวล ไม่ไว้ใจ มากกว่าที่ยิ้มร่า กล้าเข้าไปเล่นด้วย ลองสังเกตผู้ใหญ่อย่างเราก็ได้ค่ะ คนที่เราไม่รู้จัก เราก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปคุยในทันที คงต้องรอดูท่าทีสักพักเหมือนกัน

ซึ่งถ้าเด็กรู้ว่าคนที่เขารักไม่ได้ไปไหนแต่อยู่กับเขาตลอดเวลา แม้จะมีคนอื่นมาเล่นด้วยแม่ก็ยังอยู่กับเขา สิ่งนี้จะทำให้เขายอมเล่นและยิ้มกับคนอื่นมากขึ้นค่ะ เพราะเขามีความอุ่นใจ ปลอดภัยที่แม่อยู่


ช่วยลูกเข้าสังคมได้ดี
0-3 เดือนแรกของชีวิต

ในช่วงแรกเกิด เด็กจะมีความสามารถในการมองเห็นได้บ้างแล้ว แต่คงยังเป็นภาพเบลอๆ อยู่ พอ 2-3 เดือน เขาจะเริ่มโฟกัสได้มากขึ้น เริ่มมองหน้า สบตาได้ดีขึ้น และตอนนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะเริ่มฝึกค่ะ โดยการยิ้ม (social smile) ช่วงแรกลูกอาจจะยิ้มเพราะยังควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้ไม่สมบูรณ์

แต่พออายุ 2 เดือนเริ่มมี first social smile คือการที่เจ้าตัวน้อยรู้แล้วว่าคนนี้ยิ้มให้ นี่คือหน้าคนที่เห็นอยู่ตลอดเวลา เด็กก็จะตอบสนองด้วยการยิ้มให้ และถ้าคุณแม่ยิ่งยิ้มให้เขา เขาก็จะยิ่งยิ้มกลับ และนี่ก็คือครั้งแรกการมีสังคมของเด็ก โดยมีคุณแม่เป็นสังคมแรกของลูก

ช่วงแรกเกิดนี้ ชีวิตของเด็กจะกินกับนอนเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่สำคัญคือในช่วงตื่นคุณพ่อคุณแม่จึงควรเข้ามาเล่นกับลูกด้วย ไม่ใช่ตื่นแล้วก็ปล่อยให้ลูกนอนอยู่ในเปล เพราะคิดว่าเด็กทารกคงไม่ได้มีการเรียนรู้อะไร คุณแม่ต้องอุ้มลูกมาเล่น สัมผัส ร้องเพลงเดิมๆ มีการสัมผัสนิ้วของลูกไปด้วย

ยามที่ลูกตื่นก็ยื่นหน้าเข้าไปหา พูดคุย สบตา ยิ้ม นอกจากจะช่วยในเรื่องพัฒนาการ ยังทำให้เขาได้เรียนรู้เรื่องสังคมด้วยนะคะ

3-5 เดือน

ช่วงนี้เจ้าตัวเล็กจะแสดงสีหน้าได้แล้ว อาจจะทำท่าขมวดคิ้ว โกรธ หรือตกใจ ตอนนี้การยิ้มของลูกจะยิ้มให้กับคนที่คุ้นเคย

ถ้ามีคุณตา คุณยาย คุณปู่ คุณย่าเข้ามาคอยดูแล เด็กจะเริ่มไว้วางใจด้วยการยิ้มให้ ตอบสนอง แล้วก็ส่งเสียง และคนรอบข้างก็ควรที่จะตอบสนองลูกด้วยนะคะ

5-6 เดือน

วัยนี้จะเริ่มคว้านู่นคว้านี่ เริ่มนั่งได้แล้ว เราต้องอุ้ม ลูบศรีษะ มองหน้า ยิ้ม อาจจะหาหนังสือนิทานที่มีรูปสวยๆ แล้วก็พูดเล่าให้ฟัง แต่ว่าไม่ได้เน้นเนื้อหา แค่ให้เด็กจำเสียง ภาพ กับวัตถุที่เห็น ซึ่งจะเป็นพื้นฐานที่ดีในเรื่องภาษาต่อไปด้วยค่ะ ยิ่งถ้าเป็นท่วงทำนอง เป็นเพลงง่ายๆ มีท่าประกอบ เราจะได้สัมผัสมือลูก กระตุ้นประสาทสัมผัส ลูกได้ฟังเสียง หัวเราะ เป็นต้น

6-9 เดือน

ในช่วงระหว่างการเลี้ยงดู คุณแม่จะเริ่มแยกเสียงได้แล้วว่าร้องไห้แบบนี้ลูกกำลังกังวล หรือร้องแบบนี้อยากให้แม่อุ้ม หรือยิ้มแบบนี้ต้องการสื่อสารอะไร

ลูกจะชอบให้เล่นอะไรซ้ำๆ หรือเวลาที่ถูกขัดใจจะร้องกรี๊ดๆ เพราะฉะนั้นสำหรับเด็กวัยนี้ควรตอบสนองทุกอย่างให้มากที่สุดค่ะ

เป็นสิ่งสำคัญค่ะที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับพัฒนาการของลูก ไม่ต้องรู้ลึกมาก แต่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ไม่ต้องกังวลว่าจะเพาะนิสัยเอาแต่ใจตัวเองหรือเรียกร้องความสนใจ เพราะวัยนี้ต้องการตอบสนองจากพ่อแม่อย่างมากและจะทำให้เกิดความผูกพันมั่นคงทางจิตใจ

9-12 เดือน

วัยนี้จะเริ่มสังเกตได้ว่าถ้ามีเด็กในวัยเดียวกัน หรือมีน้องในวัยเดียวกันเขาจะเรียกร้องความสนใจมากขึ้น วัยนี้ยังติดแม่ซึ่งความกังวลเรื่องความแยกจากจะหายไปตอนสองขวบกว่า เพราะฉะนั้นช่วงนี้การตอบสนอง ด้วยการเล่นกับลูก และการใกล้ชิดสนิทสนมเป็นเรื่องสำคัญมาก และควรจะยาวต่อเนื่องกันไปจนถึงตอน 2 ขวบกว่าๆ เลยยิ่งดีค่ะ และเมื่อเขามีความมั่นใจในตัวคุณแม่หรือคนเลี้ยงเต็มที่ ก็จะทำให้เด็กกล้าเปิดประตูออกไปรู้จักกับโลกที่กว้างขึ้นค่ะ
จริงๆ แล้วถ้าคุณแม่สามารถให้เวลาในช่วง 1 ปีแรกของชีวิตลูก ด้วยการเลี้ยงเขาเองตลอดอย่างสม่ำเสมอและใส่ใจ จะพบว่าพัฒนาการจะดีในทุกด้าน และยังทำให้ในวัยขวบปีต่อๆ มา การเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ จะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับลูกเลยค่ะ


[ ที่มา.. นิตยสารรักลูก ปีที่ 27 ฉบับที่ 318 กรกฎาคม 2552 ]

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

4 โรคร้ายในหน้าร้อน

เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า เดือนเมษายนเป็นเดือนที่อากาศร้อนจัดที่สุดของปีสำหรับประเทศไทย ร้อนขนาดที่หลายๆ คนอาจจะเกิดอาการคลุ้มคลั่งได้ นอกจากอากาศที่ร้อนแล้ว โรคที่มากับความร้อนก็ยังมีได้เช่นกัน และมักจะเกิดขึ้นกับเด็กๆ อยู่เสมอ เพื่อเตรียมความพร้อม เรามาทำความรู้จักกับ 4 โรคร้ายในหน้าร้อนกันดีกว่า

สำหรับโรคที่มากับฤดูร้อนที่มักจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษคือ โรคที่เกี่ยวกับอาหารและน้ำดื่ม เนื่องจากอากาศร้อนทำให้ของเสียได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นข้าวปลาอาหาร ผลไม้ แม้แต่น้ำดื่มเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียต่างๆ ล้วนชื่นชอบอากาศที่ร้อนชื้น ทำให้เจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว จึงอยากเตือนพ่อแม่ให้รู้ทัน 4 โรคร้ายในหน้าร้อนเสียแต่เนิ่นๆ มาดูว่าโรคต่างๆ เหล่านี้มีอะไรบ้างและจะมีวิธีป้องกันอย่างไร?….



1. อาหารเป็นพิษ ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยมากเนื่องจากการมีสารพิษ (toxin) ที่สร้างจากแบคทีเรียตกค้างอยู่ในอาหาร ทำให้เกิดปัญหาท้องเสียได้ส่วนใหญ่แล้วจะถ่ายเป็นน้ำ ไม่มีมูกเลือด ไม่มีไข้ มักจะหายได้เองหากเป็นไม่มากหากเป็นมากก็อาจต้องได้รับน้ำเกลือเสริมซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบของการชงดื่ม (น้ำเกลือแห้ง) หรือการให้ทางหลอดเลือดดำแล้วแต่ความรุนแรง แต่โดยทั่วไปโรคลักษณะนี้ไม่ต้องให้ยาฆ่าเชื้อ เพียงแต่รักษาแบบประคับประคอง ไม่ให้ภาวะน้ำเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติเสียสมดุลเท่านั้น

2. อหิวาตกโรค ซึ่งในสมัยก่อนบ้านเราเรียกว่า “โรคห่า” หากพลิกพงศาวดารดูจะเห็นว่าเคยมีการระบาดหลายครั้งในอดีต และการระบาดแต่ละครั้งทำให้เกิดผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากได้ โดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่ที่ติดเชื้ออหิวาต์จะไม่มีอาการ หรืออาการไม่มาก แต่ในรายที่ติดเชื้อรุนแรงอาจเสียชีวิตได้ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงกหลังจากเกิดอาการเนื่องจากมีการสูญเสียของน้ำและเกลือแร่ในปริมาณที่มากทางอุจจาระ มีส่วนน้อยที่เสียไปทางการอาเจียน

เชื้อที่เป็นสาเหตุคือ เชื้อ Vibrio Cholerae ชนิด O:1 หรือ O:139 การติดต่อเป็นได้ทั้งโดยการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่เชื้อดังกล่าวเข้าไป หรืออาจจะมีการปนเปื้อนของอุจจาระ อาหารที่อาเจียนออกมาของผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคอยู่แล้ว เชื้อดังกล่าวเจริญเติบโตได้ดีในอาหารบางชนิด เช่น ข้าว แต่จะโตได้ไม่ดีในอาหารหรือเครื่องดื่มที่เป็นกรด และจะถูกฆ่าได้ด้วยความร้อน

สำหรับการดูแลรักษาคือการทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไปกับการถ่ายอุจจาระและอาเจียน อาจให้ได้โดยการดื่ม น้ำเกลือ แต่หากเป็นรุนแรง ต้องให้ทางหลอดเลือดดำ การใช้ยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่แล้วให้ในกลุ่มของเตรทต้าไซคลิน ซึ่งจะทำให้ลดระยะเวลาของอาการให้สั้นลงได้นอกจากนี้ จะทำให้การแพร่เชื้อลดลงด้วย

อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่เสียไป สำหรับคนที่มีความเสี่ยงสูง การป้องกันอาจจะใช้การฉีดวัคซีนช่วย อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ในขณะที่ระยะเวลาที่ป้องกันได้ก็มีเพียงเวลาหนึ่งเท่านั้น

3. ไข้ไทฟอยด์ เป็นโรคที่พบได้บ่อยในหน้าร้อนเช่นกัน เนื่องจากการติดต่อมักจะเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อในอาหารหรือน้ำดื่มซึ่งไข้ไทฟอยด์มักจะมีอาการแบบเฉียบพลัน สำหรับในรายที่เป็นรุนแรงอาจถึงกับเสียชีวิตได้สาเหตุของโรคเกิดจากเชื้อ Samonella typhi ซึ่งอาการของโรคจะมีไข้ ปวดเนื้อปวดตัว คลื่นไส้ อาจมีหัวใจเต้นช้าลง (โดยทั่วไปแล้วเวลามีไข้หัวใจจะเต้นเร็วขึ้น) หากให้แพทย์ตรวจอาจพบมีม้ามโตบริเวณใต้ชายโครงด้านซ้าย ต้องใช้การตรวจเลือดยืนยันเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นโรคนี้จริง การรักษาจำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม การป้องกันสามารถทำได้โดยการใช้วัคซีนซึ่งมีทั้งในรูปของการรับประทานหรือฉีด แต่การป้องกันอาจไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และที่ควรต้องระลึกไว้เสมอว่า การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การระมัดระวังเรื่องอาหารและน้ำดื่ม ซึ่งเป็นวิธีที่ประหยัด ปลอดภัย ไม่เปลืองสตางค์ ไม่ต้องเสียเวลาไปพบแพทย์ และไม่ต้องเจ็บตัวด้วย

4. โรคไวรัสตับอักเสบชนิดเอ โดยทั่วไปจะติดต่อผ่านทางคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่ง โดยการปนเปื้อนไปกับน้ำ, น้ำแข็ง, ผลไม้, หรืออาหารที่รับประทานโดยไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน โดยทั่วไปอาการที่เกิดขึ้นคือ จะมีปวดเนื้อ ปวดตัว ไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดไม่สบายภายในท้อง จากนั้นสองสามวันก็จะมีอาการตัวเหลืองตาเหลืองตามมา คนที่เป็นโรคอาจไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อยเป็นเวลา 1-2 อาทิตย์ หรือในกรณีที่เป็นรุนแรงอาจมีอาการหลายเดือนได้

เชื้อไวรัสตับอักเสบเอนี้จะตายเมื่อโดนความร้อนโดยการต้มหรือหุง ที่อุณหภูมิ 85 องศาเซลเซียส (185 องศาฟาเรนไฮน์) เป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งนาทีอาหารหรือน้ำที่ผ่านความร้อนดังกล่าวจะไม่มีการติดเชื้อนี้ยกเว้นเชื้อจะปนเปื้อนภายหลังที่หุงต้มแล้ว การป้องกันสามารถทำได้โดยการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ตามวิธีที่ดีที่สุดยังคงเป็นการระมัดระวังเรื่องอาหารและน้ำดื่ม

5 วิธีกินอาหารและน้ำดื่มในหน้าร้อนให้ปลอดภัย
1. ไม่ควรรับประทานของหวาน หรือน้ำดื่มที่มีน้ำแข็งเป็นส่วนประกอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำแข็งที่อาจไม่ผ่านกระบวนการกรองเชื้อโรคที่ถูกต้องในขั้นตอนการผลิต

2. ไม่ควรซื้ออาหารตามหาบเร่หรือแผงลอยรับประทาน ถ้าหากไม่แน่ใจในความสะอาด ไม่เห็นว่าอาหารได้ถูกปรุงเสร็จใหม่ๆ

3. ดื่มน้ำดื่มที่ต้มแล้ว หรือผ่านขบวนการกรองหรือฆ่าเชื้อที่ถูกต้อง

4. ล้างมือทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร

5. ไม่รับประทานผลไม้ที่ปอกทิ้งไว้ วางขายตามท้องถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีแมลงวันบินวนเวียนอยู่มากมาย สรุปคือควรรับประทานอาหารที่สุก สะอาด หากเป็นผลไม้ควรต้องเป็นผลไม้ที่ลงมือปอกเอง


คนไทยมักจะซื้ออาหารรับประทานกันตามสะดวก โอกาสที่จะเกิดปัญหาจึงมีมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็กและคนชรา หรือในคนที่อ่อนแอมีโรคประจำตัวที่มีภูมิต้านทานผิดปกติหรือรับประทานยากดภูมิต้านทาน ควรต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ในผู้ใหญ่ที่แข็งแรงอาจเกิดปัญหาแค่ท้องร่วง หรือมีไข้ไม่กี่วัน แต่ในกลุ่มคนที่อ่อนแอหรือกลุ่มเด็กๆ อาจต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ต้องให้น้ำเกลือ ต้องฉีดยาปฏิชีวนะ ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกเท่าไหร่ เรียกว่าวุ่นวายกันทั้งบ้านเลยทีเดียว



(update 11 มิถุนายน 2007)
[ ที่มา.. นิตยสารบันทึกคุณแม่ No.165 April 2007]

อึ...ขี้เจ้าตัวน้อย บอกสุขภาพของเด็ก

" อื้อ.อ.อ..อ… เบ่งค่ะลูก"
อย่าเพิ่งทำจมูกบี้ หน้าย่น เผ่นหนีหายกันไปเสียก่อน เพราะเรื่องที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้แม้จะไม่ชวนดูน่าดมเท่าไหร่ แต่รับประกันได้ค่ะว่าเป็นประโยชน์สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกในวัยละอ่อนนอนแบเบาะ ที่จะสามารถตรวจเช็กดูว่าลูกน้อยยังมีสุขภาพดีอยู่หรือเปล่า แต่จะดูยังไง สังเกตตรงไหน ต้องไปพิสูจน์ เริ่มสนใจแล้วใช่ไหมละ (สืบเนื่องจากน้องแพรวาไม่ขี้ 1 วัน วุ่นกันทั้งตระกูล )

มาม๊ะ… จะพาไปดูอึกัน

อึแบบนี้สบายหายห่วง
อึสึดำคล้ำ เหนียวๆ คล้ายยางมะตอย เป็นเอกลักษณ์อึหนูน้อยวัยแรกคลอดค่ะ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ขี้เทา คุณป้าหมอ คุณลุงหมอเรียกว่า เมโคเนียม (mecomium) หนูน้อยจะอึออกมาภายใน 24 ชั่วโมง แต่ถ้าเลย 24 ชั่วโมงไปแล้ว ยังไม่อึให้สงสัย ไว้ก่อนว่าเกิดจากการที่ลำไส้อุดตัน ต้องรีบพบคุณหมอหาทางแก้ไขโดยด่วนค่ะ

อึสีเหลืองอร่ามคล้ายทอง เป็นลักษณะอึหนูน้อยที่คลอดออกมาแล้ว 3-4 วัน หนูๆ ที่หม่ำนมแม่อึจะมีลักษณะเหลวและดูดี แต่หากหม่ำนมผสมจะเป็นก้อนไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่ ช่วงนี้หนูน้อยจะอึ 3-5 ครั้งในหนึ่งวัน

อึสีเหลือง สีเขียว คล้ายสังขยา เป็นลักษณะของอึในช่วง 2 สัปดาห์หลังคลอดค่ะ หนูน้อยที่หม่ำนมจะยังคงอึไม่เป็นก้อน ลักษณะคล้ายสังขยาที่เนื้อกับน้ำผสมกันเป็นเนื้อเดียวกัน อาจมีเม็ดปนบ้าง อึวันละประมาณ 6-10 ครั้ง บางคนอึทุกครั้งที่หม่ำนมเสร็จมากบ้าง น้อยบ้างต่างกันไป แบบนี้คุณแม่ต้องตั้งท่าเช็ดก้นแล้วล่ะ
หลังจาก 1 เดือนผ่านไป จำนวนครั้งของการอึจะน้อยลง หนูน้อยบางคนอึวันละครั้ง หรืออาจจะ 2 ครั้ง แต่จะมีปริมาณอึมากและไม่แข็ง

อึแบบนี้เข้าข่ายต้องระวัง
อึสีดำสีเหมือนกาแฟดำ หรือเหมือนถ่าน ลักษณะเช่นนี้อาจเกิดจากสาเหตุ 2 ประการ ประการแรกคุณแม่อาจให้ลูกหม่ำอาหารที่มีธาตุเหล็กมากเกินไป ถ้าไม่ใช่ อาจมีสาเหตุมาจากเลือดออกในทางเดินอาหาร ต้องไปพบคุณหมอด่วน

อึสีขาวซีดคล้ายกระดาษ ถ้าหนูน้อยของคุณแม่อึออกมาสีแบบนี้อย่าเพิ่งตกใจ ตั้งสติดีๆ แล้วพาไปพบคุณหมอนะคะ เพราะอาจเกิดจากภาวะท่อน้ำดีอุดตัน

อึแข็ง หรือหนูน้อยที่เคยอึดีมาตลอด แต่ไหงอึเว้นช่วงห่างออกไปทุกที แถมยังเป็นก้อนแข็งขึ้น อาการเช่นนี้อาจเป็นเพราะหนูน้อยเริ่มเป็นหวัด เจ็บคอ หรือมีโรคอื่นๆ เพราะเชื้อโรคที่มีอยู่ในร่างกายทำให้หนูน้อยเบื่ออาหารและลำไส้ทำงานน้อยลง

อึมีกลิ่นเหม็น เกิดจากสาเหตุของการเจ็บป่วย ถ้าเหลวพร้อมกับมีกลิ่นเหม็นมากมักเกิดจากโรคท้องเดิน ถ้ามีกลิ่นปกติหรือกลิ่นคล้ายกับอาหารที่หม่ำเข้าไปก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

อึเหลว ถ้าเคยอึดีไฉนกลายเป็นน้ำเหลวพุ่งจู๊ดจู๊ด แถมอึบ่อยเหลือเกิน อาจจะเกิดเพราะการย่อยไม่ดี หม่ำอาหารไม่สะอาด หรือมีโรคติดเชื้อที่เรียกว่าเป็นโรคท้องเดินค่ะ

อึมีเลือดปน ลักษณะคือมีเลือดปนนิดๆ ที่ด้านนอกไม่ได้ปนมาในเนื้ออึ แสดงว่าเป็นเลือดจากภายนอก มักจะเกิดจากแผลบริเวณทวารหนัก เนื่องจากท้องผูก หรืออึเป็นก้อนแข็งมากก็เลยครูดบริเวณทวารหนักของหนูน้อยจนเลือดออกค่ะ

อึมีมูกปนเลือด ถ้าหนูน้อยอึแล้วมีมูกปนเลือดออกมา อาการเช่นนี้อาจมีสาเหตุมาจากความผิดปกติของลำไส้ หรือท้องเดินชนิดรุนแรง ต้องพบแพทย์โดยด่วนค่ะ
ลักษณะอึของหนูน้อยแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับอาหารที่กินค่ะ การเปลี่ยนแปลงของสีและจำนวนครั้งของอึ ไม่น่าตกใจเท่ากับการเปลี่ยนแปลงของลักษณะแข็ง เหลว และมีกลิ่น ถ้าหนูน้อยที่เริ่มหม่ำอาหารเสริมใหม่ๆ ลักษณะของอึอาจจะเหมือนกับอาหารที่หม่ำเข้าไป ถ้าไม่มีอาการอื่นที่ผิดปกติ ไม่มีมูกเหลว ก็ไม่น่าวิตก

ก่อนเช็ดก้นหนูน้อยครั้งต่อไปอย่าลืมตรวจดูด้วยนะคะ ว่าอึลูกยังปกติดีอยู่หรือเปล่า



(update 23 กุมภาพันธ์ 2004)
[ ที่มา.. นิตยสารดวงใจพ่อแม่ ปีที่ 8 ฉบับที่ 96 ตุลาคม 2546 ]

8 มีนาคม วันเกิดภรรยาผมครับ

วันที่ 8 มีนา เวียนมาอีกครั้ง ครั้งนี้ครบรอบ 31 ปี คุณพ่อ และ คุณลูก ขออวยพรให้คุณแม่ มีความสุขมาก ๆ ครับ




วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2554

น้องแพรวา .... อายุ 2 เดือน 2 สัปดาห์ พัฒนาการดี

วันนี้น้องแพรวาอายุ 2 เดือน 2 สัปดาห์ 6 วัน ครับ ตอนนี้ถ้าเป็นภาษาบ้าน ๆ ก็จะบอกว่ากำลังเป็นหมาน้อย ครับ (ยืมภาษาลุงเชฐมา )วันที่ 25 - 28 ก.พ. 54 พาแพรวาไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าที่สกลนคร เดินทางไปด้วยกันรถ 3 คัน พ่อตา แม่ยาย ไปด้วย และก็พี่ ทั้ง3 ของทิพย์ พี่เพ็ญ พี่โรจน์ ภา ปุ๋ม แฟนพี่โรจน์ น้องแบม น้องรัตน์ และก็แพรวา รวมแล้วก็ 12 คนครับ ขาไปเราออกเดินทางกัน 2 ทุ่มวันที่ 25 ก.พ.54 ถึงบ้านหนองหลวง อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร ตอน ตีห้าครึ่งสมาชิกทุกคนตื่นเต้นกันแต่พอไปถึงทุกคนก็สลบ เพลียกับการเดินทาง ที่หมู่บ้านช่วงนั้นมีงานฉลองพระอุโบสถ หลังใหม่ ปิดทองฝังลูกนิมิตร พอดี ส่วนตัวแพรวางานนี้ไม่พลาดเพราะน้องแพรวาอายุ 2 เดือน กว่าพาไปปิดทองฝังลูกนิมิตร มา 2 วัดแล้ว วันหน้าจะเอารูปมาลงให้ดูกันนะ



Lilypie - Personal pictureLilypie Premature Baby tickers