วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อารมณ์ขัน กลยุทธให้ลูกเติบโต

อารมณ์ขัน กลยุทธให้ลูกเติบโต

อารมณ์ขันและ เสียงหัวเราะ ไม่เพียงแค่สร้างสีสันให้กับชีวิตเราเท่านั้น แต่ยังมีประโยชน์กับร่างกายและจิตใจอย่างมหาศาลทีเดียวค่ะ จากรายงานของ ARISE (Associates for Research Info the Science of Enjoyment) หรือองค์การวิจัยเพื่อศาสตร์แห่งความสุข ซึ่งเป็นสถาบันกลางที่ร่วมผลงานการค้นคว้าโดยผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก พบว่า…การหัวเราะจะช่วยลดระดับฮอร์โมนที่ก่อให้เกิดความเครียดลง ช่วยลดความเจ็บปวดและทำให้เรารู้สึกดีขึ้น เมื่อใดที่เราหัวเราะ ร่างกายจะผลิตเซลล์ที่ทำหน้าที่ต่อสู้กับเซลล์มะเร็งและเซลล์ที่ติดเชื้อไวรัสได้มากขึ้น นอกจากนี้การหัวเราะยังส่งผลดีต่อระบบการทำงานของร่างกาย เช่น ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหาร การไหลเวียนโลหิต และระบบต่อมไร้ท่อด้วย และยังมีประโยชน์อื่นๆ ที่เรานึกไม่ถึงเชียวค่ะ อาทิ เพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย การหัวเราะจะช่วยเพิ่ม “IgA” ซ่งเป็นภูมิคุ้มกันชนิดหนึ่งในน้ำลาย สำหรับป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหาย เช่น ไข้หวัด หรือภูมิแพ้ลดภาวะซึมเศร้า การหัวเราะจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนโดพามีนซึ่งเป็นสารที่ช่วยต่อต้านกับความเครียดได้
กระตุ้นหัวใจให้แข็งแรงขึ้น การหัวเราะอย่างต่อเนื่อง 15-20 นาที เป็นเสมือนการออกกำลังกายให้หัวใจได้ประมาณ 3-5 นาที ช่วยบริหารปอด การหัวเราะทำให้กระบังลมเคลื่อนไหวได้มากขึ้น ทำให้ระบบหมุนเวียนอากาศของปอดทำงานดีขึ้น สำหรับผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจจึงควรหัวเราะบ่อยๆ ค่ะ
ช่วยชะลออาการของโรค เมื่อคุณหัวเราะจะทำให้คุณอารมณ์ดีและมีความสุขไม่กังวลและเครียดอยู่กับอาการของโรค ลดอาการเจ็บปวด เมื่อเราหัวเราะร่างกายจะรู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งช่วยลดความเจ็บปวดได้ค่ะ เช่นเวลาที่ฉีดยาคนที่เกร็งกล้ามเนื้อ หรือเครียดจะเจ็บกว่าคนที่รู้สึกผ่อนคลายค่ะ
ถ้าคุณเคยดูภาพยนต์เรื่อง Patch Addms นำแสดงโดย Robin Williams ดาราชื่อดังของ Hollywood ซึ่งนำเค้าโครงมาจากเรื่องจริงของนักจิตวิทยาคนหนึ่ง ที่ใช้ความพยายามมากกว่า 30 ปี เพื่อทำให้คนไข้ของเขาหัวเราะ ไม่ว่าอาการเจ็บป่วยนั้นจะรุนแรงเพียงใดก็ตาม เพราะเห็นประโยชน์ของการหัวเราะนั่นเอง บ้านเราก็เช่นกันค่ะ ขณะนี้ศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิทยาเขตประสานมิตร ได้จัดตั้งโครงการศาสตร์และศิลป์แห่งการหัวเราะบำบัดขึ้นแล้วค่ะ
เสียงหัวเราะ… ดัชนีความสุขและการเติบโตของลูก
ถ้าเจ้าของเสียงหัวเราะคือลูกน้อยของคุณ ผลที่ได้ก็ไม่ต่างจากผู้ใหญ่หรอกค่ะแต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ เสียงหัวเราะของลูกเปรียบเหมือนเสียงสวรรค์ของพ่อแม่ เพราะเป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งว่าลูกกำลังมีความสุข ขณะเดียวกันก็สื่อนัยว่า ลูกจะเป็นเด็กที่มีพัฒนาการทางอารมณ์และการเรียนรู้ที่ดี เพราะเด็กจะใช้เสียงหัวเราะและอารมณ์ขันเพื่อผ่อนคลายความรู้สึกตึงเครียด และสร้างบรรยากาศให้สนุกสนานเกิดขึ้นภายในจิตใจ ทั้งยังได้เรียนรู้วิธีที่จะสื่ออารมณ์ในทางบวกผ่านทางเสียงหัวเราะ ทำให้ฮอร์โมนโดพามีน (Dopamine) ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ความสุข การเคลื่อนไหวและความจำหลั่งออกมา ส่งผลให้เด็กมีความสุขและต่อต้านกับความเครียด จนทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ในร่างกายลดลงและเจริญเติบโตได้ตามปกติ
จะว่าไป ฮอร์โมนคอร์ติซอลก็ไม่ได้เป็นผู้ร้ายที่ต้องกำจัดออกไปจากร่างกายหรอกเพระาถ้ามีในระดับที่พอดีก็จะเป็นแรงเสริมให้เด็กๆ มุ่นมั่นทำสิ่งต่างๆ จนประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย แต่ถ้ามีมากเกินก็ส่งผลร้ายต่อร่างกายได้ เพราะจะทำให้เกิดอาการเครียด การเจริญเติบโตไม่ดี โดยเฉพาะสมอง และอาจทำให้เกิดโรคได้ เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็ง กระเพาะอาหาร เป็นต้น ซึ่งวิธีลดระดับคอร์ติซอลนั้นง่ายมาก เพียงหาหนทางให้ลูกหัวเราะ ให้ฮอร์โมนโดพามีนจะได้หลั่งออกมาไงคะ
พอนึกออกแล้วนะคะ ว่าถ้าวันหนึ่งๆ ลูกไม่หัวเราะหรือมีอารมณ์ขันเลย จะเกิดอะไรขึ้น ที่ชัดเจนคือ ลูกจะเครียด ไม่มีความสุข การเจริญเติบโตไม่ดี มองโลกในแง่ร้ายไม่ไว้ใจใคร ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง และมีบุคลิกภาพที่ไม่ดีตามมาอีกด้วยค่ะ
เสียงหัวเราะสำคัญต่อลูกในท้อง
สำหรับคุณแม่ท้องจำเป็นที่ต้องสร้างเสียงหัวเราะอย่างยิ่ง หรือทำให้ตัวเองอารมณ์ดี เพราะนั่นหมายึงลูกน้อยจะได้รับอานิสงส์จากเสียงหัวเราะของคุณไปด้วย เพราะถ้าแม่ท้องมีอารมณ์ขันหรือหัวเราะอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของระบบทางเดินหายใจทั้งต่อตัวแม่และลูกน้อยในครรภ์ ซึ่งเด็กที่อยู่ในท้องของคุณแม่อารมณ์ดีเมื่อคลอดออกมาจะเติบโตดี และเป็นจุดเริ่มต้นของความสามารถในการเรียนรู้ทั้งหมด ที่สำคัญช่วง 0-6 ปี สมองของลูกเจริญเติบโตได้ดีที่สุด จงต้องต่อยอดการเรียนรู้ด้วยการเสริมกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ลูกมีอารมณ์ที่ดี เพราะเมื่อลูกสนุกและอารมณ์ดีแล้วทุกอย่างรอบตัวก็น่าสนุกและน่าเรียนรู้ไปหมด แม้ในยามที่เจอปัญหาก็กลายเป็นเรื่องท้าทายให้หาทางออกและใช้ความคิดสร้างสรรค์ค่ะ
กลยุทธ์จุดอารมณ์ขัน
เบบี้ 0-1 ปี
วัยนี้ลูกสามารถสร้างเสียงหัวเราะและอารมณ์ขันได้ง่ายมาก ไม่ต้องไปสรรหาวิธีการอะไรให้ยุ่งยาก เพียงแค่เราเอาใจใส่และทำทุกช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันให้มีแต่ความสุขเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ช่วยให้เขาได้เรียนรู้โลกกว้าง ร่างกายแข็งแรง มีพัฒนาการด้านอารมณ์ที่ดีและสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้
กิจกรรมที่คุณพ่อคุณแม่สามารถสร้างเสียงคิกคักให้เจ้าตัวเล็กได้นั้นมีมากมายค่ะขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกหยิบจับอะไรมาเล่นกัน ลองมาดูกันนะคะ
1. จ๊ะเอ๋…เบบี้ เป็นกิจกรรมยอดฮิตครองแชมป์โลกก็ว่าได้ เพราะพ่อแม่ทุกคนต้องเล่นกับลูกแน่นอนค่ะ สามารถเรียกความสนใจเจ้าตัวเล็กให้รู้จักมักคุ้นกับใบหน้าของคนรอบๆ ตัว อาจจะใช้ผ้าอ้อมของลูก ตุ๊กตา หรทอมือของคุณเองก็สามารถสร้างเสียงหัวเราะให้ลูกได้แล้วค่ะ
2. เล่นปูไต่ วิธีนี้ก็สนุกไม่เบา ใช้ปลายนิ้วของแม่หรือพ่อสัมผัสที่ท้องลูกเบาๆ ลูกจะรับรู้ถึงสัมผัสนั้นได้ แค่นี้ก็ทำให้ลูกรู้สึกจั๊กจี๋และส่งเสียงหัวเราะได้แล้ว
3. เอื้อมให้ไกลไปให้ถึง เพียงแค่คุณเอาของเล่นที่ลูกชอบ ชอบวางให้ห่างจากมือลูกสักนิด เจ้าตัวเล็กจะคืบคลานทีละนิดๆ เพื่อเอื้อมหยิบของเล่นชิ้นนั้น วิธีนี้สร้างทั้งเสียงหัวเราะและฝึกให้เขาได้บริหารกล้ามเนื้อแขน ขา และนิ้วมือด้วย
4. ยิ้มให้กระจก ลองหากระจกที่มีลวดลายสีสันสดใสให้ลูกส่องดูตัวเองสิคะ แล้วทำท่าทางต่างๆ ให้ลูกทำตาม แค่เขาเห็นตัวเองในกระจกก็ยิ้มไม่หุบแล้วค่ะ และถ้ามีท่าตลกๆ ให้เขาเห็นหรือทำตาม เขาจะหัวเราะร่าเลยเชียว
5. ไล่จับหนู การเล่นไล่จับกับลูกก็สร้างเสียงหัวเราะได้ ลูกอยู่ในวัยคลาน คุณก็คลานไล่ตามลูก เจ้าตัวเล็กจะรีบคลานหนีไปพร้อมๆ กับส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊าก วิธีนี้ทำให้กล้ามเนื้อแขน ขา และมือแข็งแรงขึ้นด้วยค่ะ
6. เป่าพุงป่อง เล่นแบบนี้ก็สนุกไม่แพ้กัน เพราะสร้างทั้งเสียงหัวเราะและเสียงดังจากการเป่า เสร็จแล้วก็แกล้งทำสะดุ้งตกใจเมื่อมีเสียงดัง หรืออาจทำท่าทางแปลกๆ ให้เขาดูก็ได้ค่ะ
7. บินเหมือนนก เป็นการเล่นอีกแบบหนึ่งที่สร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับลูกได้ไม่แพ้วิธีอื่นๆ เพียงคุณอุ้มลูกให้นอนคว่ำ มือข้างหนึ่งจับที่หน้าอกและมืออีกข้างหนึ่งจับที่ช่วงขา แล้วพาเขาบินไปพร้อมๆ กัน เท่านี้เจ้าตัวเล็กก็ยิ้มร่าแล้วค่ะ
8. ขี่ม้าชมเมือง ชื่อนี้คุณอาจไม่คุ้นเคย แต่ถ้าบอกวิธีการแล้วคุณต้องร้องอ๋อ…วิธีก็มีอยู่ว่า เวลาที่คุณจะเล่นกับลูกต้องนอนหงายก่อน จากนั้นก็ให้ชันเข่าขึ้นตั้งตรงเข่าชิดกัน อุ้มเจ้าตัวเล็กไปวางไว้ที่หลังเท้าให้ตัวลูกแนบกับเข่า แล้วคุณก็ยกเท้าขึ้นลงๆ คุณอาจกางแขนลูกออกทั้ง 2 ข้าง พร้อมกับยกขาขึ้นค่ะ รับรองสนุกแน่
9. ตุ๊กตาหนูหายไปไหน นี่ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ฮิตไม่เบาเช่นกัน เพียงเอาของที่ลูกโปรดปรานไปแอบไว้สักพัก จากนั้นก็ค่อยๆ เอาออกมาแล้วทำท่าตกใจให้เขาเห็น
10. โมบายกรุ๊งกริ๊ง เด็กเล็กบางคนแค่เห็นโมบายแกว่งไปมาก็อารมณ์ดีนอนยิ้มกริ่มแล้ว ยิ่งปล่อยให้เขาเอื้อมคว้าจับด้วย ก็จะยิ่งชอบใจค่ะ
11. แย่งของเล่น อันนี้ก็ใช้ของเล่นชิ้นโปรดของลูกเช่นกัน แต่คุณต้องแย่งของเล่นจากลูกด้วยการแกล้งดึงออกจากมือลูกแล้วก็ปล่อย…อย่าแย่งจริงล่ะ เดี๋ยวได้เสียงร้องไห้โฮโฮมาแทนเสียงหัวเราะฮ่าฮ่า จะหาว่าไม่บอกกันก่อน
12. ขี่คอบิน เพียงคุณอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นขี่คอ กางแขนของลูกออกแล้วพาบินไปด้วยกัน แต่ต้องระวังความปลอดภัยให้ลูกด้วยนะคะ
13. เหินฟ้า ใช้มือ 2 ข้างจับตัวลูกชูขึ้น-ลง ทำอย่างนี้ซ้ำ 2-3 ครั้ง ครั้งแรกเขาอาจจะตกใจ แต่เมื่อทำอีกคราวนี้ลูกจะสนุกและหัวเราะร่วนเลยล่ะค่ะ
14. เสื้อผ้าแสนสนุก หลังอาบน้ำเสร็จขณะที่คุณจะแต่งตัวให้เขา คุณก็นำเสื้อผ้าเหล่านั้นมาสร้างเสียงหัวเราะให้ลูก ด้วยการนำเสื้อผ้ามาสวมที่มือคุณแล้วเต้นไปตามจังหวะเพลงที่คุณร้อง หรืออาจจะแต่งเป็นนิทานสักเรื่องหนึ่งก็ได้ หรืออาจใช้เสื้อผ้าไปจั๊กจี๋ลูกแทนมือก็ได้อีกเช่นกัน
15. ตีได้ตีดี ไม่ได้ให้ตีลูกนะตัวเอง หมายถึงให้หาเครื่องดนตรีสำหรับเด็กๆ ที่สามารถตีหรือเคาะให้เกิดเสียงได้ จากนั้นก็ลองสาธิตให้เจ้าตัวเล็กดู แค่เจ้าตัวเล็กได้ยินเสียงก็จะรีบคว้าของจากมือคุณแล้วล่ะค่ะ
เตาะแตะ 1-3 ปี
อารมณ์ขันของวัยเตาะแตะนั้น สร้างได้ดังนี้ค่ะ
1. เล่นโยนบอล เอาลูกบอลที่ลูกชอบเล่นมาโยนส่งกับลูก พอบอลตกถึงพื้นก็แกล้งร้องและทำท่าตกใจ ลูกจะหัวเราะชอบใจแล้วโยนใหม่เล่นอีกครั้ง
2. นิทานแสนสนุก เล่านิทานให้ลูกฟังค่ะ โดยทำเสียงประกอบให้ดูเหมือนตัวละครในนิทานจริงๆ หรืออาจลองให้ลูกเล่านิทานให้เราฟังดูบ้าง ก็จะได้ความแปลกใหม่และสร้างเรื่องขำๆ ให้กับครอบครัวได้เช่นกัน
3. ร้องรำทำเพลง เปิดเพลงสนุกที่ลูกชอบหรือเพลงที่เหมาะกับลูก แล้ววาดลวดลายเต้นไปมาให้ลูกทำตาม หรือทำท่ารำ “น้อย นอย นอย…ก็ได้ค่ะ ไม่สงวนสิทธิ์
4. ปั่น ปั่น ปั่น รับรองว่ากิจกรรมปั่นจักรยานจะสามารถเรียกได้ทั้งเสียงหัวเราะและความตื่นเต้นเลยล่ะค่ะ แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ต้องระวังอุบัติเหตุให้เขาด้วยนะคะ
5. ฟุตบอลพาเพลิน การเล่นแบบนี้ทำให้ลูกออกกำลังกายไปในตัว อีกทั้งยังสร้างเสียงหัวเราะให้ทั้งคุณและลูกได้เป็นอย่างดี เตะกันไปกันมา ผลัดกันเป็นคนรักษาประตูก็สนุกดีค่ะ
จอมซน 3-6 ปี
สำหรับวิธีสร้างอารมณ์ขันของเด็กที่โตขึ้นมาสักหน่อยดูจะมีเรื่องราวมากกว่าอารมณ์ขันของเด็กวัยอื่นแต่ต้องเสริมการเรียนรู้ให้ลูกด้วยค่ะ
1.. ละเลงสี กิจกรรมนี้สนุกแน่นอน เพราะเจ้าตัวเล็กได้ฝึกทั้งลากด้วยเส้นสี การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ และใช้จินตนาการควบคู่กันไปด้วย แค่นี้…เสียงหัวเราะก็อยู่แค่ปลายนิ้วค่ะ
2. ทำกับข้าว เมนูวันนี้คุณลูกขอทำเอง คุณแม่คุณพ่อจะกินได้หรือเปล่านั้นไม่รู้ค่ะแต่สิ่งที่รู้คือเจ้าตัวเล็กสนุกที่ได้รู้จักผัก ผลไม้หรือของใช้ในครัวเรือนเพิ่มขึ้นแน่นอน
3. ยิ่งต่อยิ่งสนุก เด็กวัยนี้สามารถต่อบล็อกได้หลากหลายรูปแบบตามจินตนาการแล้วบางคนอาจจะง่ายๆ แต่บางคนคิดซับซ้อนมากขึ้น ยิ่งต่อก็ยิ่งสนุกค่ะ
4. เพลงโปรด ถ้าอยากได้ยินเสียงเอิ๊กอ๊ากของลูกวัยนี้ การร่วมร้องเพลงสุดโปรดไปกับใช้ได้เลยค่ะ บางครั้งลองแกล้งร้องเนื้อผิดหรือร้องเสียงหลงดูสิคะ ลูกจะขำและแก้ไขให้คุณร้องได้ถูกต้องทันทีเลยล่ะ
5. เกมต่อคำ ลองชวนลูกๆ มาเล่นเกมต่อสัมผัสเสียงดูสิคะ เช่น คุณพ่ออาจจะเริ่มด้วย คำว่า ดอกไม้ คุณแม่ต่อด้วยคำว่า ใบหญ้า แล้วก็ให้ลูกๆ ต่อคำซึ่งขึ้นต้นด้วยสระอา เช่น ปาท่องโก๋ ซาลาเปา กาน้ำ ฯลฯ …เล่นต่อคำกันไปจนกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะจนแต้มคิดคำไม่ออก (หรือคุณอาจจะแกล้งนึกคำไม่ออกก็ได้นา)
6. “พ่อแม่เปลี๋ยนไป” หน้าตาที่แปลกไปของพ่อแม่ก็เรียกเสียงฮาให้ลูกได้เหมือนกันไม่ว่าคุณจะแกล้งทำตาเหล่ ปากเบี้ยว ปากจู๋ หรือจะดันจมูกขึ้น ดึงหางตาลง ลองทำดูแล้วสังเกตว่าหน้าไหน ทำให้เจ้าหนูขำกลิ้งได้มากกว่ากัน
7. ปั้นแป้งโด แค่คุณแม่มีแป้งโดให้ลูกแล้วปล่อยให้เขาปั้น จะปั้นอะไรก็ได้ตามใจเขา ซึ่งกิจกรรมนี้ไม่ได้สร้างเสียงหัวเราะเพียงอย่างเดียวนะ แต่ยังช่วยเสริมจินตนาการให้กับเจ้าตัวเล็กได้อีกด้วย
8. แกล้งอำลูก เช่น ลูกบอกว่า “ขอน้ำเย็นกินหน่อยครับ” ลองตอบลูกไปว่า “น้ำเย็นไม่มี มีแต่น้ำมืดแล้ว” รับรองว่าเรียกเสียงหัวเราะได้ตลอดเลยล่ะค่ะ
9. ผลุบๆ โผล่ๆ เกมนี้เด็กๆ ชอบมาก เช่น คุณพ่อกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ลูกก็แกล้งมาโผล่ใต้โต๊ะที่พ่อนั่ง พ่อทำท่าตกใจ…ลูกจะหัวเราะชอบใจทุกครั้งเลยค่ะ
เสียงหัวเราะ และอารมณ์ขันเป็นเพียงเสียงธรรมดาที่ใครๆ ก็สร้างได้ จะหัวเราะเมื่อไหร่ก็ได้ แต่แปลกที่คนเรากลับหัวเราะน้อยลงทุกวัน ถึงเวลาแล้วค่ะ ที่เราต้องสร้างเสียงหัวเราะแห่งความสุขให้เกิดขึ้นในครอบครัวโดยเฉพาะกับลูกน้อย ถ้าไม่อยากให้เขาเป็นเด็กที่ไม่มีความสุข พัฒนาการและการเจริญเติบโตมีปัญหา

[เขียนโดย มนต์ชยา ที่มา..นิตยสารรักลูก ปีที่ 24 ฉบับที่ 286 พฤศจิกายน2549 ]